อิตาลี…กี่ครั้งก็ไม่พอ ตอน เทือกเขา Dolomites

ช่วยไลค์ช่วยแชร์ครับ

เทือกเขาแอลป์อยู่ในเขตพื้นที่หลายประเทศ และหลายคนยกให้อิตาลีเป็นประเทศหนึ่งที่เห็นวิวของเทือกเขานี้สวยที่สุด ซึ่งอยู่ในส่วนของพื้นที่ที่เรียกว่า “โดโลไมต์” หรือ โดโลมิติ (Dolomites/Dolomiti) ซึ่งอยู่ในแคว้น South Tyrol ทางตอนเหนือของอิตาลี

โดโลไมต์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น UNESCO World Heritage ตั้งแต่ปี 2009 กินพื้นที่ถึง 5 จังหวัดทางตอนเหนือของอิตาลี  คือ Belluno, Bolzano/Bozen, Pordenone, Trento และ Udine

 

Dolomite Landscape

ส่ิงที่ทำให้ที่นี่มีความแปลกตาแก่ผู้พบเห็น และเตะตาผมจะทำให้มีทริปนี้เกิดขึ้นมา คือ ลักษณะของภูมิประเทศที่มีเอกลักษณ์จนมีชื่อเรียกว่าเป็น “Dolomite Landscape”

เกริ่นนำ

ทริปนี้ขับรถเป็นวงครับ โดยเริ่มจากมิลานและเข้า Great Dolomites Road ทางตะวันตกทางเมือง Bolzano และสิ้นสุดทางตะวันออกที่เมือง Cortina d’Ampezzo แล้วขับกลับมาคืนรถที่มิลานเป็นอันจบทริปใช้เวลาใน Dolomites ทั้งหมดสามวันครึ่งกับ 4 คืนตามแผนที่ด้านล่าง ส่วนเมืองที่พักตามวงกลมรูปตัว H ครับ (ดาวน์โหลดตัวอย่าง itinerary ที่นี่ ครับ)

  • วันที่ 1 (เส้นสีส้ม) – Val di Funes (ตอนเย็น)
  • วันที่ 2 (เส้นสีเขียว) – Ortisei (Funivie Seceda และ Funivie Ortisei), Lake Carezza, Passo Pordoi
  • วันที่ 3 (เส้นสีม่วง) – Passo Pordoi, Passo Falzarego (Lake Limides), Tre Cime di Lavaredo
  • วันที่ 4 (เส้นสีน้ำตาล) – Tre Cime, Lake Misurina, Pragser Wildsee (Lake Braies), Passo Giau, Cortina

อีกทางเลือกคือขับจากเมืองอื่นใกล้ๆ กัน เช่น จากเวนิสเข้าโดโลไมต์ทางเมือง Cortina หรือเข้าจากเมืองอื่นๆ ในประเทศใกล้เคียงก็ได้แล้วแต่แผนและความสะดวกครับ

คลิ๊กที่รูปเพื่อดาวน์โหลด

ความสูงจากระดับน้ำทะเล (เมตร) ของจุดต่างๆ

ข้อมูลตัวเลขความสูงค้นหาจาก wikipedia และ google อาจคลาดเคลื่อนได้บ้างครับ

ปล. สถานที่ที่ผมแวะในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นไฮไลท์ที่คนมักจะไปกัน แต่ระหว่างเส้นทางนี้ยังมีจุดแวะต่างๆ อีกมากเลยนะครับ ถ้ามีเวลาเที่ยวเยอะหน่อย ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมและมาแบ่งปันกันได้ครับ


ไปช่วงไหนดี

  • ผมชอบความเขียวขจีแซมด้วยดอกไม้หลากสีสัน เลยแนะนำให้มาช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิกับต้นๆ ฤดูร้อนครับ ซึ่งก็คือช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม (ผมมาช่วงปลาย มิ.ย.) นอกจากวิวจะสวยเป็นพิเศษแล้ว ก็ยังเป็นช่วงที่กระเช้าต่างๆ และที่พักวิวดีๆ เปิดปกติอีกด้วย ที่สำคัญมืดช้ามากๆๆ (พระอาทิตย์ตกประมาณ 2-3 ทุ่ม) ทำให้แต่ละวันมีเวลาเที่ยวนานหน่อย
  • แต่ๆๆๆ ถึงแม้จะเป็นฤดูร้อนแต่สภาพอากาศบนภูเขาก็ทำนายลำบากครับ ถ้าเกิดพยากรณ์อากาศบอกว่าเมฆมากหรือฝนตก ให้เตรียมใจไว้นิดนึงว่าหมอกน่าจะเยอะจนอาจทำให้ไม่เห็นวิวภูเขาก็ได้ แต่ยังไงซะอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วครับ ถ้าหมอกเยอะก็อดใจรอนิดนึงโชค “อาจจะ” เข้าข้างมีลมพัดหมอกหายไป “แป๊บนึง” ให้เราได้เสพวิวสวยๆ ก็เป็นได้
  • ถ้าชอบหิมะและรักการเล่นสกีก็ต้องมาฤดูหนาว มีที่เล่นสกีเต็มไปหมด แต่ต้องเช็คให้ดีก่อนว่าถนนเส้นไหน ที่พัก หรือกระเช้าไหนปิดบ้าง และขับรถต้องระมัดระวังให้มาก
  • เที่ยวแถบนี้จำเป็นต้องขับรถครับ เพราะไม่มีรถไฟ จะมีก็แต่รถบัสไปตามเมืองใหญ่ๆ เช่น Bolzano, Ortisei, Cortina แต่ตามจุดเล็กๆ น้อยๆ ของ Great Dolomites Road นั้นยังไม่มีรถบริการทั่วถึงครับ จุดเริ่มต้นสามารถเริ่มเดินทางได้ทั้งจากมิลาน (4-5 ชั่วโมง) หรือเวนิส (2 ชั่วโมงกว่า) 
  • ส่วนการขับรถนั้นเหมือนขับรถพวงมาลัยซ้ายของอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ ในยุโรป สภาพถนนก่อนเข้า Dolomites นี่ดีมากและกว้างขวาง แต่เสียค่าทางด่วนหลายต่อหน่อย ให้สังเกตสัญลักษณ์ดีๆ ถ้าไม่มี Pass ให้เข้าช่องเงินสดครับ (สองรูปขวาในรูปล่าง)

  • แต่พอเข้าช่วง Great Dolomites Road จะกลายเป็นถนนสองเลน ถนนดีแต่แคบหน่อยและทางหลายช่วงจะคดเคี้ยวมาก คนนั่งก็กินยาแก้เมารถกันไว้เลยก็ดีครับ ตอนขับก็จะกดดันนิดนึงตอนที่คันหลังขับมาจี้ตูดนี่แหละ

พักที่ไหนดี

  • แล้วแต่แผนการเดินทาง สถานที่ที่จะแวะ และจริตแต่ละคนเลยครับ จะเอาโรงแรม, hostel, กระท่อมบนเขา (ที่เขาเรียกว่า “Rifugio”) หรือกางเต๊นท์ก็ตามสะดวก แต่แนะนำให้จองแต่เนิ่นๆ ครับ เพราะช่วง high season ทุกอย่างจะเต็มเร็ว โรงแรมในเมืองราคาก็พอประมาณมีตั้งแต่ปานกลางจนแพงมากไปเลย ผมจองผ่าน booking.com นี่มีให้เลือกเยอะและราคาดีสุดละ แต่ถ้าจะเอาใกล้ชิดธรรมชาติก็เลือกแบบ rifugio ก็ได้ครับซึ่งส่วนใหญ่ต้องหาจองจากลิงค์เว็บไซด์ของเขาเลย
  • ทริปของผม ส่วนใหญ่เลือกพักโรงแรมในเมือง (ดูรายชื่อใน itinerary ที่ให้ดาวน์โหลดด้านบนได้ครับ) แต่มาพักที่ rifugio 1 คืน คือ Rifugio Locatelli (Dreizinnenhuette) บนอุทยาน Tre Cime เพราะอยากได้วิวยอดเขาพร้อมแสงเช้า แสงเย็นและวิวกลางคืนให้คุ้ม ถ้าเอาตามแผนด้านบนของผมก็จะเหนื่อยตรงที่ต้องเปลี่ยนโรงแรมทุกวันนี่แหละครับ แต่เพื่อจะได้ไม่ต้องขับรถย้อนไปมาก็เลยต้องยอมเหนื่อยหน่อย อีกอย่างถนนนี่คดเคี้ยวมาก ขับไปกลับโรงแรมเดิมคงไม่ไหวแน่ๆ 

การจอง Rifugio Locatelli

Rifugio Locatelli

ที่นี่เป็นกระท่อมบนเขาที่วิวสวยมากกกก (ก.ไก่ล้านตัว) เห็นรูปแล้วเลยต้องมาให้ได้ ที่นี่เขาจะปิดช่วงฤดูหนาวครับ ต้องเช็คในเว็บไซต์ดูว่าเริ่มเปิดวันไหน ส่วนของปี 2018 นี่เขาเปิด 30 มิถุนายน วิธีการจองให้เข้าไปที่เว็บไซด์เพื่อเช็ควันและราคาดู และอีเมลไปจองโดยตรงครับ ราคานี่แพงพอควรครับ แต่รับรองคุ้ม!

  • แนะนำให้จองล่วงหน้าอย่างน้อย 3-4 เดือน ตามไปที่ ลิงค์ นี้ครับหรืออีเมลไปที่ rifugio-locatelli@rolmail.net หรือ dreizinnenhuette@rolmail.net (สามารถจองได้ตั้งแต่ช่วงที่เขาปิด)
  • มีห้องหลายชนิดให้เลือกทั้ง private 2 คน, 4 คน และนอนรวมแบบเรียงเป็นตับ ของผมจองเร็วได้ห้อง 4 คนพอดีเลยสบายหน่อย
  • มีห้องส้วมรวม (ฟรี) แต่ถ้าจะอาบน้ำเสียเงิน 8 euro ต่อคน! ต่อ 5 นาที! และจำกัดวันละไม่เกิน 20 คน! (แจ้งที่เคาน์เตอร์เขาจะให้เหรียญมาหยอดแล้วเปิดน้ำจับเวลาห้านาที เริ่มอาบได้ 7.00-21.00 โดยประมาณครับ เพราะหลังจากนั้นเขาจะตัดไฟ)
  • มี option ให้เลือกอาหารเช้า หรืออาหารสองมื้อ (half board) หรือไม่เอาอาหารก็ได้ แต่แนะนำแบบสองมื้อไปเลย มื้อเย็นนี่อร่อยและเยอะดี แต่มื้อเช้าน้อยไปหน่อยครับ
3-course dinner และ breakfast
  • ไฟฟ้าจะตัดตอนดึกๆ และเปิดให้ใช้อีกทีตอนหกโมงเช้า (ไม่แน่ใจว่าตัดไฟกี่โมงเพราะหลับไปก่อน ตื่นมาอีกที อ้าว..ชาร์ตไฟไม่เข้า)
  • พักที่นี่ให้จอดรถที่ Rifugio Auronzo แล้วเดินไต่เขาขึ้นไปประมาณ 2 ชั่วโมง ไว้จะเล่าในเนื้อเรื่องต่อไปครับ

Val di Funes

วันแรกเดินทางออกจากมิลานก็บ่ายแก่ๆ แล้ว ขับมาประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าเกือบจะไม่ทันพระอาทิตย์ตก เราแวะมาที่ Val di Funes กันก่อนเข้าที่พักที่เมือง Ortisei เพื่อถ่ายรูปกับแสงเย็น (ที่เกือบจะลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว) แถวนี้มีจุดไฮไลท์ที่ต้องแวะมาสองที่ด้วยกันคือ

  1. The Church of St. Johann in Ranui (San Giovanni) (พิกัด: 46.63505, 11.72428) จุดนี้จะมีโบสถ์เล็กๆ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเป็นฉากหน้า และเทือกเขายอดหยักๆ เป็นฉากหลัง ถ้าได้วิวมุมสูงนี่จะสุดยอดมากเลยแต่เสียดายหาไม่เจอ (จะหาก็ไม่ทันละ เพราะไปถึงกันเย็นมาก)
  2. จุดชมวิว Church of Santa Magdalena (พิกัด: 46.64861, 11.71527) ผมชอบที่นี่มากกว่า เพราะเป็นวิวมุมสูงมองเห็นแบบพาโนรามาเลย — Update 2019! จุดนี้ตอนที่ผมไป ไปตามพิกัดที่ขีดฆ่าไว้ครับซึ่งถนนแคบมาก รถวิ่งสวนกันไม่ได้ ทำให้ค่อนข้างลำบากถ้ามีรถสวนกัน และมีที่จอดรถ 2-3 คันเท่านั้น ตอนหลังเพจนายมดมารีวิวไว้ว่า ถนนนี้จริงๆ เป็นถนนส่วนบุคคล ไม่ควรขึ้นไปครับ ซึ่งการที่เราขึ้นไปคงสร้างความลำบากใจ (รำคาญ) ให้เจ้าของเขาไม่น้อย เลยแนะนำว่าให้จอดที่จอดรถด้านล่างแล้วเดินขึ้นไปดีกว่า (เขาว่าใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมง ดังนั้นเผื่อเวลาดีๆ ครับสำหรับคนที่จะไปถ่ายแสงเย็น เดี๋ยวแสงจะหมดซะก่อน); ขอบคุณเพจนายมดสำหรับข้อมูลดีๆ ครับผม

พิกัดจอดรถ: 46.638561, 11.718111

พิกัดจุดชมวิว: 46.647542, 11.716311

Church of St. Johann in Ranui (San Giovanni)

การมาถ่ายภาพที่สองจุดนี้ ผมแนะนำแสงเย็นครับ เพราะถ้าฟ้าเปิดดีๆ จะได้แสงอาทิตย์สีส้มหรือทองฉาบเหลี่ยมเขา แต่คงเลือกได้แค่ที่เดียวเพราะเราคงเคลื่อนตัวไม่ทันแสงลับเหลี่ยมเขา ถ้าให้เลือก ผมเลือกไปถ่ายแสงที่ Church of Santa Magdalena ครับ แต่เสียดายตอนไปผมไปไม่ทัน มัวแต่เอ้อระเหยกันอยู่ที่โบสถ์ด้านบน

 

Church of Santa Magdalena

มาถึงจุดนี้แสงหมดพอดี


Ortisei

Ortisei เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ในหุบเขาท่ีเรียกว่า Val Gardena จะว่าไปที่นี่ก็เป็นเหมือนเป็นศูนย์กลางทางฝั่งตะวันตกของโดโลไมต์รองๆ ลงมาจากเมือง Bolzano เมืองนี้วิวสวยและมี Cable car หลายเส้นทางให้ขึ้นไปดูวิวยอดเขา Odle Mountain Peaks

กระเช้าที่แนะนำมีสองที่ตามรูปด้านล่าง และถ้าจะขึ้นทั้งสองที่นี้ + chairlift ด้วยแนะนำให้ซื้อ Supersummer pass เลยครับราคา 48 euro (ซื้อได้ที่จุดขายตั๋วเลย ถ้าราคาเต็มตามตารางด้านล่าง)

  1. Funivie Ortisei (Ortisei – Alpe di Siusi/St. Ulrich) และขึ้น chairlift ที่อยู่ใกล้ๆ กัน
  2. Funivie Seceda (Ortisei – Furnes – Seceda)
Val Gardena

 

Funivie Ortisei

เป็นกระเช้าที่พาขึ้นไปยัง Alpe di Siusi ซึ่งเป็นลานทุ่งหญ้ากว้างเห็นวิวของเทือกเขา หุบเขาแบบพาโนรามา (จุดที่ 1 ในรูป) ใกล้ๆ กับสถานีกระเช้ามีที่ขึ้น chairlift ลงไปลานด้านล่างด้วย (ถ้าซื้อ Supersummer pass ก็ขึ้นได้ฟรีครับ บัตรนี้คุ้ม)

มองเห็นเมือง Ortisei จาก Cable car

มี chairlift ให้ขึ้นอยู่ใกล้ๆ กัน ลงไปยังทุ่งหญ้าด้านล่าง

วิวจาก Chairlift

Funivie Seceda

สถานีกระเช้าทั้งสองสถานีนี้สามารถเดินถึงกันได้ครับ เดินข้ามสะพานนี้ไป

เป็นกระเช้าที่พาขึ้นไปลานทุ่งหญ้ากว้างที่มีชื่อว่า Seceda กระเช้านี้ขึ้น 2 ต่อครับค่อนข้างยาว (ราคาเลยแพง) ที่ยอดมีจุดให้ชมวิวมุมกว้าง (จุดที่ 2) และเดินปีนเขาต่อไปยังจุดไฮไลท์ของ Seceda (จุดที่ 3) ซึ่งจุดนี้จะเห็นยอดเนินคล้ายเปลวไฟที่แข็งเป็นหิน จึงมีคนตั้งสมยานามว่า “Flame frozen in stone”

“Flame frozen in stone”

ตอนแรกดูในรูปนึกว่าลงกระเช้าแล้วถึงเลย…แต่ของจริงนี่เดินไกลอยู่ครับ ต้องไต่ขึ้นไปบนสันเขาด้วยถึงจะได้วิวอย่างที่ต้องการ แต่มันคุ้มมากที่ต้องเดินมา

 

ตัวเมือง Ortisei

ถ้ามีเวลาอยากให้มาเดินเล่นตอนเย็นๆ หรือพักซักคืนนึง เป็นเมืองที่น่ารักดีครับ มีร้านอาหาร ร้านขายของให้เดินดูเพลินๆ ช่วงฤดูร้อนนี่ดอกไม้เต็มเมือง

Lake Carezza

มาถึงที่นี่ตอนแสงใกล้หมดพอดี เลยได้แสงสีส้มฉาบเทือกเขา Latemar เป็นฉากหลังของทะเลสาบพร้อมเงาสะท้อนน้ำสวยมากครับ ใหญ่มากขนาดเลนส์ไวด์ (ของผม) ยังเก็บไม่หมด ทะเลสาบนี้มีสีเขียวมรกตสวยมากครับ ถ้ามาช่วงแสงดีๆ จะเห็นชัดเจน

มาทันได้แสงอาทิตย์ตกฉาบภูเขาพอดี๊พอดี
ขนาดแสงหมดก็ยังสวย

Passo Pordoi

อยู่ระหว่างเมือง Canazei และ Arabba ตรงทางขึ้นกระเช้ามีท่ีพักอยู่สองที่ ผมเลือก Hotel Col di Lana (เพราะถูกกว่า) ได้วิวเทือกเขาตอนเช้าจากหน้าต่างห้องนอนเลย ราคาขึ้นกระเช้าที่นี่แพงใช่ย่อย 19 euro (ไป-กลับ)

Hotel Col di Lana

วิวของ Pass Pordoi จากหน้าต่างโรงแรมตอนเช้า หมอกคลุมเต็มไปหมด

แต่พอสายเข้าสายหมอกก็จางลงเผยให้เห็นยอดเขาโดยรอบสวยงามมากๆ

สถานีกระเช้าอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมเลย

ช่วงที่ไปมีแข่งจักรยานมาราธอนในช่วงเช้าพอดี

มองลงมาเห็นเส้นทางคดเคี้ยวของ Great Dolomites Road

วิวด้านบนเป็นที่ราบหินปูนเรียบๆ พร้อมวิวภูเขารอบๆ มองไปไกลๆ เหมือนมี rifugio ให้พักด้วย

ทางเดินบนนี้เป็นหินเล็กๆ เดินยากนิดนึง ไม่ระวังอาจลื่นหรือเท้าพลิกได้ เตรียมรองเท้ากันไว้ดีๆ

Lake Limides

ตัวทะเลสาบอยู่ในพื้นที่ Passo Falzarego และต้น trail จะอยู่แถวๆ Rifugio Col Gallina ให้จอดรถแถวๆ นั้นแล้วมองหาป้ายเล็กๆ แล้วเดินตามไป (เส้นสีเหลืองในรูปด้านล่าง)

Rifugio Col Gallina

เส้นทางมีช่วงไต่เขาบ้าง แต่ไม่มาก สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้า ป่าสน แซมด้วยดอกไม้เล็กๆ หลากสีสัน ตัดกับฉากหลังของเทือกเขาแอลป์สวยมากครับ เดินกันประมาณครึ่งชั่วโมงนิดๆ (1.4 กิโลเมตร) ก็มาถึง

วิวระหว่างทางนี่สวยกว่าวิวทะเลสาบที่เป็นจุดหมายปลายทางซะอีก

เห็นยอดเขานี้ลิบๆ แสดงว่าใกล้ถึงแล้ว

น้ำค่อนข้างนิ่งทำให้เห็นเงาสะท้อนของยอดเขาเหมือนกันกับน้ำสีเขียวมรกต

 

แถว Passo Falzarego นี่ยังมีที่ขึ้นกระเช้าไป Cinque Torri ด้วยครับ เห็นเป็นวิวยอดเขา 5 ยอดเหมือนหอคอยตามรูปด้านล่าง แต่กว่าผมจะออกจากทะเลสาบ กระเช้าก็ปิดแล้ว เลยไม่ได้ขึ้นไป พิกัดขึ้นกระเช้าอยู่ที่ร้าน Baita Bai de Dones ครับ

Cinque Torri (ภาพจากอินเตอร์เนต)

Lake Misurina

เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ทางตอนเหนือของเมือง Cortina และมักจะเห็นในโปสการ์ดโดโลไมต์อยู่เสมอๆ มีฉากหน้าเป็นทะเลสาบและฉากหลังเป็นเทือกเขาและอาคารสีเหลืองๆ (ตอนแรกนึกว่าโรงแรม แต่จริงๆ เป็นสถานพยาบาล) ถ้ามาช่วงเวลาเหมาะๆ แสงดีๆ จะเห็นเงาสะท้อนของอาคารและเทือกเขาสวยดีครับ แต่ตอนผมมาแดดจ้ามากและน้ำไม่นิ่ง เลยดูไม่สวยเท่าไร

Tre Cime di Lavaredo

ที่นี่เป็นไฮไลท์ของ Dolomites ฝั่งตะวันออกด้วยความยิ่งใหญ่และเป็นเอกลักษณ์ทำให้พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ แต่ก็ต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อเล็กน้อย

การเดินทาง

  • จาก Lake Misurina ให้ขับรถต่อมาที่ Rifugio Auronzo ซื่งจะอยู่ในตัวอุทยาน Tre Cime ครับ เสียค่าเข้า 30 euro ต่อคัน จอดรถด้านล่างแล้วเดินต่อตามทางเดินหมายเลข 101 (เส้นสีน้ำเงินและสีแดงในรูปด้านล่าง) เส้นสีน้ำเงิน คือ ระยะทางตั้งแต่ Rifugio Auronzo ถึง Rifugio Locatelli ยาวประมาณ 4.6 กิโลเมตร ทางเดินช่วงแรกชิลๆ ให้ตายใจครับ แต่พอผ่าน Rifugio Lavaredo ไปแล้วนี่ ลิ้นห้อยครับเพราะส่วนใหญ่เป็นทางขึ้นเขา ใช้เวลาเดิน (one-way) ทั้งหมดประมาณ 1.5-3 ชั่วโมงแล้วแต่จะพักบ่อยแค่ไหน ส่วนขากลับจะกลับทางเดิมหรือจะวนอีกด้านตามเส้นประสีแดงก็ได้แต่ระยะทางจะไกลกว่า
  • ผมเห็นมีรถบัสมาด้วยครับ แต่ไม่ทราบรายละเอียด ลองศึกษาดูตาม ลิงค์นี้ ครับ
Rifugio Auronzo

ที่อุทยานนี้จะมี Rifugio อยู่ 3 ที่คือ

  • Rifugio Auronzo เป็นจุดเริ่มต้น trail
  • Rifugio Lavaredo จุดนี้เป็นจุดสิ้นสุดความสบาย ทางเดินหลังจากจุดนี้จะขึ้นๆ ลงๆ หน่อย เล่นเอาหอบเหมือนกันครับ
  • Rifugio Locatelli (Dreizinnenhuette) เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ถ้าจะพักในอุทยาน Tre Cime นี้ผมแนะนำที่นี่ครับ วิวสวยสุดๆ คุ้มมากๆ กับหยาดเหงื่อและเม็ดเงิน (ฮา)

 

เส้นทาง 101 นี้จะเห็นวิวของยอดเขา 3 ยอด (Tre Cime หรือ Three Peaks) อย่างใกล้ชิดมากเพราะเดินเป็นวงรอบยอดเขาเลย ทางเดินในรูปด้านบนเป็นวงที่สั้นที่สุด แต่บนนี้มีอีกหลายทางมากครับ ถ้าชอบการเดินเขาก็น่าสนใจไม่น้อย

ก่อนมานี่วาดฝันไว้สวยงามว่าจะได้เดินชิลๆ พร้อมกับมองวิวยอดเขาให้ชุ่มฉ่ำสายตา แต่….

ภาพแรกที่เห็นเมื่อถึงที่จอดรถก็เป็นแบบรูปด้านบน ทำเอาเซ็งเลย และลังเลว่าจะเดินไปต่อดีไหมเพราะเดินไกลก็ไกล ถ้าขึ้นไปไม่เห็นอะไรก็เหนื่อยเปล่า เกือบถอดใจลงไปหาโรงแรมแถว Lake Misurina พักละ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เคยได้ยินว่าอากาศข้างบนเปลี่ยนแปลงบ่อย เลยลองก้มหน้าก้มตาเดินต่อ ซึ่งก็จริงครับ เดินไปเกือบครึ่งทางลมก็พัดหมอกไป เผยให้เห็นยอดทั้งสามอยู่ใกล้มากๆ และมันใหญ่มาก

เริ่มเห็นฐานยอดละ ตื่นเต้นๆ

Rifugio Lavaredo

พอเดินมาถึงแถว Rifugio Lavaredo ก็เริ่มเห็นยอด

แต่เอ๊ะ…ไม่เห็นเป็นสามยอดเหมือนในรูปแฮะ สงสัยเป็นด้านข้าง

เดินอ้อมมาอีกด้าน อยู่ๆ เมฆหมอกก็น้อยลง และภาพที่เห็น…นี่มันในโปสการ์ดชัดๆ! สวยกว่าและใหญ่กว่าที่จินตนาการไว้หลายเท่า

หันกลับไปอีกด้านก็เห็น Rifugio Locatelli ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราอยู่ลิบๆ บวกกับบรรยากาศ cloudy พร้อมแสงอาทิตย์ลอดกลีบเมฆมาฉาบภูเขาและที่พักเบื้องหน้า…วิวนี้สวยมาก (มากๆๆๆ) (มากๆๆๆ)

แต่ก็สวยอยู่ได้แป๊บเดียว เมฆหมอกก้อนใหญ่ก็มาปกคลุมอีก เลยต้องเดินจ้ำอ้าวไปที่พัก คราวนี้มืดฟ้ามัวดินถึงเช้าเลย อดทั้งแสงเย็น แสงเช้า และดาวระยิบระยับ (ฮา)

พอเดินถึงที่พักก็กินอาหารเย็น อาบน้ำ 5 นาที! ด้วยราคา 8 euro! และเข้านอนท่ามกลางสายหมอกนอกหน้าต่าง พอตื่นเช้ามาเห็นวิวของยอดเขาจากหน้าต่างทำเอาหลับต่อไม่ลงเลยทีเดียว ถึงจะยังมีหมอกไหลมาบังแต่ก็สวยมาก (มากๆๆๆ) นี่ถ้าได้นั่งถ่ายดาวกับยอดเขาตอนกลางคืนในห้องนอนด้วยคงจะดีไม่น้อยเลย (น่าเสียดายมาก)

จากหน้าต่างห้องเบอร์ 7 ของ R. Locatelli
ตีห้าครึ่ง
หกโมงเช้า

แต่โชคยังเข้าข้างอยู่ พอสายหน่อยฟ้าก็สว่าง มีเมฆลอยมาปิดบางๆ ก็ได้วิวที่สวยไปอีกแบบ

เจ็ดโมง

Monte Paterno

 

ด้านหลังของที่พักมีทะเลสาบเล็กๆ ชื่อ Laghi dei Piani เป็นวิวทะเลหมอกที่สวยทีเดียว

จากนั้นก็เดินเล่นรอบๆ จัดหนักกับการชื่นชมบรรยากาศและถ่ายรูปให้สาสมกับที่ผิดหวังกับหมอกเมื่อวานเย็นและตอนเช้ามืด

Monte Paterno และ Three Peaks

ก่อนอำลาที่นี่ วิวด้านหน้าที่พักนี่แบบ…

ตอนเดินกลับนี่จะกลับทางเดิมหรือจะกลับอีกทางก็ได้ครับ (เส้นประสีแดงในรูปแผนที่) ซึ่งจะไกลกว่าหน่อยแต่ก็จะได้วิวที่แปลกตาเพิ่มและมีทะเลสาบเล็กๆ ระหว่างทางด้วย แต่ผมเลือกเดินกลับทางเดิมครับเพราะขี้เกียจเดินแล้ว

ดูขนาดยอดเขากับคนเทียบกัน มันอลังการมากจริงๆ

พอเดินกลับถึง Rifugio Lavaredo ทะเลหมอกเจ้าเก่าก็ลอยมาปิดยอดเขาอย่างมืดฟ้ามัวดินอีกครั้งเหมือนเมื่อวานบ่ายเป๊ะเลย มองไม่เห็นวิวอะไรอีกเช่นเคย เลยอดเห็น Three Peaks ทางด้านหน้า (ที่เห็นจากโรงแรมเป็นด้านหลังของยอด)

Three Peaks ด้านข้าง
Three Peaks ทางด้านหน้ามีหมอกไหลมาบังแล้ว

สรุป…ฟิน

ดังนั้นมาที่นี่ถ้าพยากรณ์อากาศว่าเมฆเยอะหรือฝนตกต้องทำใจไว้ก่อนนิดนึงครับ

Pragser Wildsee (Lake Braies)

Lake Braies (Lago di Braies) เป็นอีกหนึ่งทะเลสาบที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกัน สีน้ำสวยมากเป็นสี turqouise มีฉากหลังเป็นภูเขา อารมณ์คล้ายๆ Lake Louis ของ Banff National Park ของแคนาดา สามารถพายเรือเล่นได้

ระหว่างทางจาก Lake Misurina จะผ่านทะเลสาบอีก 2-3 ที่ที่สะดุดตาตั้งแต่ขับรถผ่านเพราะน้ำมีสี turqouise สวยมาก แต่เราได้แวะกันที่ Lake Dobbiaco แป๊บนึง สามารถเดินเล่นได้รอบ และวิวอีกด้านนึงตรงสะพาน จะมีน้ำตกเล็กๆ ด้วย แต่ผมเดินไปไม่ถึงเพราะเริ่มเย็นแล้ว กลัวไป Lake Braies ไม่ทัน เลยได้แต่ถ่ายรูปเล่นตรงใกล้ๆ ที่จอดรถ

Lago di Dobbiaco

ขับต่อมาอีกประมาณ 20 นาทีก็ถึงจุดหมาย Lake Braies

Hotel Lago di Braies

Passo Giau

คราวนี้โชคไม่เข้าข้างเหมือนที่ Tre Cime ละครับ หมอกมืดฟ้ามัวดิน ขึ้นไปถึงที่จอดรถไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอก เลยต้องกลับ คิดซะว่าขับรถตามถนนคดเคี้ยวเล่นแล้วกัน รูปด้านล่างเอามาจากอินเตอร์เนตครับ

Passo Giau (ภาพจากอินเตอร์เนต)

Cortina d’Ampezzo

เมืองสุดท้ายของเราก่อนที่จะร่ำลาโดโลไมต์ ที่นี่เป็นเมืองทางด้านตะวันออกของ Great Dolomites Road ซึ่งเปรียบเหมือนศูนย์กลางไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ได้ทั้ง Lake Misurina, Tre Cime di Lavaredo, Pragser Wildsee, Passo Giau

หน้าโรงแรม Olimpia ราคาไม่แพงแต่ภายในเก่าหน่อย

ผมไม่ได้อยู่เมืองนี้นานนักเพราะมาถึงโรงแรมก็สามทุ่มแล้ว วันรุ่งขึ้นก็ต้องออกเดินทางตอนสาย เลยได้แต่มาเดินเล่นช่วงเช้า เมืองยังเงียบๆ ไม่มีคน

“โดโลไมต์” เป็นอีกที่หนึ่งที่จะเก็บไว้ในดวงใจครับ มันสวยและน่าประทับใจมากๆ เป็นอีกมุมหนึ่งของอิตาลีที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน จะว่าไปอิตาลีนี่มีครบทุกรสชาดเลยครับ ทั้งเมืองทันสมัย เมืองเก่าโบราณมรดกโลก ทะเลที่สวยงาม และธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ นี่แหละ…อิตาลี กี่ครั้งก็ไม่พอ

 

 

About Breathe My World 68 Articles
A man who love travelling the world.

7 Comments

  1. ขอบคุณสำหรับ review ครับ ภาพถ่ายก็สวยงามมากครับ

  2. ภาพสวย เดี๋ยวตามรอย ขอบคุณที่รีวิว คะ

  3. สวยงามมากคะ เป็นpostที่มีประโยชน์มากเลยคะ

  4. หากไปช่วงปลายเดือน พฤษภาคม จะสวยมั้ยค่ะ อากาศเป็นยังไงค่ะ ดูจากอากาศย้อนหลัง พร62 อุณหภูมิประมาณ 28-30องศา

    • สวยทุกฤดูครับ ช่วงปลาย พ.ค. ยังมีหิมะอยู่ แต่ไม่มาก ขับรถไม่ยากครับ แต่วิวจะยังไม่ค่อยเขียวเท่าไร อาจยังดูแห้งๆ หน่อย ดอกไม้ยังไม่ค่อยบาน ส่วนอุณหภูมิยังหนาวนะครับ น่าจะไม่เกิน 5-10 องศาเซลเซียส กลางคืนอาจลงไปถึง 0 หรือติดลบหน่อยๆ โดยเฉพาะบนภูเขา (ที่ว่า 28-30 ไม่แน่ใจว่าข้อมูลเป็นฟาเรนไฮต์หรือเปล่า)

Comments are closed.