สารบัญ
จะจัดการความกลัวการเที่ยวที่สูงอย่างไร
การได้ไปเที่ยวที่สูงๆ คงเป็นความใฝ่ฝันของหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นเมือง ภูเขา ยอดเขา ฯลฯ แต่ก็คงมีอีกหลายคนที่ไม่กล้าไปเพราะกลัว…ถ้ากลัวความสูง คงแก้ยาก (งั้นก็ไม่ต้องไป 555) แต่ถ้ากลัวเกิดอาการจากการไปที่สูงแล้วล่ะก็ ทางนี้มีคำแนะนำครับ
ขอเล่าเรื่องการเดินทางที่ Machu Picchu แบบคร่าวๆแทรกไปเป็นระยะๆ นะครับ จะได้ไม่เบื่อกันซะก่อน
โดยส่วนตัวก็ไม่เคยไปปีนเขาสมบุกสมบันที่ไหน สูงสุดก็ไปแค่ดอยอินทนนท์ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้มีอาการอะไร เพราะขับรถขึ้นไป เดี๋ยวเดียวก็ลงมาแล้ว เลยยังไม่ทันมีอาการอะไรเลยคิดว่าไป Machu Picchu ก็ไม่น่าจะเป็นไรมั้งงงง….แต่คิดผิด เพราะตอนผมไป Machu Picchu แทบไม่ได้หยุดที่เมือง Cusco เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวตามที่คนเขาแนะนำเลย เพราะเวลาจำกัด
ภาพ: เมือง Cusco, Peru ~ เมืองสวยๆ แต่สูงเสียดฟ้า 3,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล
.
แค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเหยียบเมือง Cusco เดินขึ้นเนินนิดเดียวก็เหนื่อยหายใจแรง เหมือนจะหายใจไม่ทันซะแล้ว มึนๆ งงๆ ด้วย แต่ยังโชคดีครับเพราะพอได้นอนพักซัก 2-3 ชั่วโมง กินน้ำเยอะๆ อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ ทำให้วันรุ่งขึ้นที่เดินทางไป Machu Picchu ไม่หมดสภาพมาก และปีนถึงจุดหมาย (ยอด Huayna Picchu) ได้โดยสวัสดิภาพ (ถึงต้องพักยกหลายรอบก็เถอะครับ)
อีกสาเหตุที่ทำให้ไม่มีอาการเหนื่อยนักตอนปีนเขา เพราะก่อนที่จะปีน ผมพักที่เมืองใกล้ Machu Picchu ต่ออีก 1 คืน คือ เมือง Aguas Calientes แต่เมืองนี้ก็ไม่ได้อยู่สูงมากครับ แค่ประมาณ 1,880 เมตรเท่านั้น ทำให้ไม่ค่อยมีอาการมาก แต่ก็ช่วยให้ปรับตัวได้
.
ภาพ: รถไฟและวิวระหว่างทางจาก Cusco ไป Aguas Calientes
ภาพ: เมือง Aguas Calientes
ที่ไหนบ้างที่ต้องระวัง
สถานที่เที่ยวที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ มีเยอะมากครับ ยกตัวอย่างตามรูปข้างล่างเลยครับเทียบคร่าวๆ กับสิ่งก่อสร้างและสถานที่ที่คุ้นเคยกันดี
อันนี้แค่ความสูงแบบเด็กๆ ย่างเข้าวัยรุ่นครับ ยังมีอีกหลายที่ที่สูงกว่ามากๆ เช่น เทือกเขาในทิเบต, เนปาล, Everest base camp (5,400 เมตร) หรือยอดเขาเอเวอร์เรสต์ (สูงกว่า 8,800 เมตร)
ภาพ: Machu Picchu และ Huayna Picchu (ยอดเขาทางด้านหลัง), Peru
.
สูงแค่ไหนถึงเริ่มมีอาการ
…โดยทั่วไปมักมีอาการเมื่อขึ้นไปที่สูงเกินกว่า 2,500 เมตรขึ้นไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วยว่าจะมีอาการหรือไม่และมีมากหรือน้อยแค่ไหน
ความสูงที่มักทำให้มีอาการมาก คือความสูงตั้งแต่ 3,500 เมตรขึ้นไป (very high and extreme altitude) ซึ่งผู้เดินทางจำเป็นต้องวางแผนและเตรียมตัวป้องกันให้ดีก่อนเสมอ
แล้วทำไมเวลาขึ้นเครื่องบินเราถึงไม่มีอาการอะไรทั้งที่เครื่องบินบินสูงในระดับหลายพันเมตร
…นั่นก็เพราะภายในห้องโดยสารเขาปรับแรงดันอากาศให้เหมาะสมแล้วคือเทียบเท่ากับที่สูงประมาณ 1,500-2,000 เมตร และร่างกายเรามีการปรับตัวทำให้เราสามารถหายใจในระดับดังกล่าวได้โดยไม่มีอาการอะไรผิดปกติ
อาการผิดปกติเกิดขึ้นได้อย่างไร
พูดให้เข้าใจง่าย ก็คือ ในที่สูงจะมีแรงดันอากาศและความเข้มข้นของออกซิเจนน้อยกว่าระดับน้ำทะเล และยิ่งสูงก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ เช่น ที่ความสูง 3,000 เมตร (ประมาณ 9,800 ฟุต) จะมีแรงดันของออกซิเจนในอากาศแค่ 70% ของที่ระดับน้ำทะเล เป็นต้น เป็นผลทำให้ร่างกายมีระดับออกซิเจนในเลือดลดลงด้วย ก่อให้เกิดการตอบสนองของระบบต่างๆ ของร่างกายซึ่งทำให้เกิดอาการผิดปกติตามมาได้
การตอบสนองของร่างกาย
อาการของ high-altitude sickness เช่น
- หายใจเร็ว
- หัวใจเต้นเร็ว
- มีการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic
- มีการหดเกร็งของเส้นเลือดในปอด ทำให้มีแรงดันของเส้นเลือดในปอดสูงขึ้น มีการรั่วซึมของสารน้ำออกมาภายนอกหลอดเลือด เกิดภาวะน้ำท่วมปอด เรียกภาวะนี้ว่า high altitude pulmonary edema (HAPE)
- มีการขยายตัวของเส้นเลือดสมอง เลือดไปยังสมองเพิ่มมากขึ้น เกิดการรั่วซึมของสารน้ำออกมาภายนอกหลอดเลือด เกิดสมองบวม เรียกภาวะนี้ว่า high altitude cerebral edema (HACE)
กลุ่มอาการหรือโรคที่เกิดจากการอยู่ในที่สูงมีอะไรบ้าง
มีได้ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงรุนแรงจนเสียชีวิตได้ขึ้นกับปัจจัยหลายๆ อย่าง
ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้มีอาการรุนแรง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการนั้นไม่ขึ้นกับอายุ เพศ หรือเชื้อชาติ (ก็คือ ทำนายไม่ได้ว่า ใครจะเกิดหรือไม่เกิดภาวะนี้) แต่จะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขึ้นที่สูงมากกว่า เช่น
- ความสูงของพื้นที่ที่จะไป
- ความเร็วในการขึ้นที่สูง ถ้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะปรับตัวไม่ทันทำให้มีโอกาสเกิดอาการมากขึ้น
- กิจกรรมการออกแรงมากๆ เช่น วิ่ง หรือออกกำลังกายหนักๆ
- ภาวะร่างกายขาดน้ำ
- ปัจจัยเกี่ยวกับตัวบุคคล เช่น เคยมีอาการจากการขึ้นที่สูงมาก่อน, มีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจหรือโรคปอดบางประเภท (ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ) เป็นต้น
ภาพ: Inca Trail, ค่อยๆ เดินปรับระดับความสูง ก็สามารถช่วยลดโอกาสเกิดอาการได้
กลุ่มอาการหรือโรคที่เกิดจากการอยู่ในที่สูงเรียกรวมๆ ได้เป็น high-altitude sickness
ซึ่งมีหลายชนิดทั้งกลุ่มที่มีอาการแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง กลุ่มที่มีอาการแบบเรื้อรังมักเกิดในคนที่ต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่สูงนานๆ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ท่านๆ มักจะมีปัญหากับการเกิดกลุ่มอาการที่เกิดแบบเฉียบพลันมากกว่าครับ ซึ่งมีอยู่ 3 ชนิดใหญ่ๆ คือ
1. Acute mountain sickness (AMS) เป็นกลุ่มอาการที่มีความรุนแรงไม่มาก มักจะมีอาการหลังจากขึ้นไปที่สูงประมาณ 4-10 ชั่วโมง และอาการจะดีขึ้นได้เองภายใน 1-3 วัน ซึ่งพบได้ประมาณ 9-40% ในระดับความสูงไม่เกิน 3,500 เมตร เกณฑ์การวินิจฉัยภาวะนี้ (Lake Louise diagnostic criteria) คือ
- อาการปวดหรือมึนศีรษะ
- ร่วมกับอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 1 อย่าง คือ เบื่ออาหาร, คลื่นไส้หรืออาเจียน, อ่อนเพลีย, วิงเวียนศรีษะ, หรือนอนไม่หลับ
2. High Altitude Pulmonary Edema (HAPE) คือ ภาวะปอดบวมน้ำจากการอยู่ในที่สูง เป็นกลุ่มอาการที่มีความรุนแรง อาจเป็นสาเหตุของการหายใจหรือระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวได้ เกณฑ์การวินิจฉัย อาศัยอาการหรืออาการแสดงต่อไปนี้
- มีอาการ (symptom) อย่างน้อย 2 ข้อต่อไปนี้ คือ มีอาการหอบเหนื่อยขณะพัก, ไอ, อ่อนเพลีย/ออกแรงได้น้อยลง, แน่นหน้าอก หรือนอนราบไม่ได้
- หรือ มีอาการแสดง (sign) อย่างน้อย 2 ข้อต่อไปนี้ คือ มีเสียงการหายใจผิดปกติ, ตัวและปากเขียว, ออกซิเจนในเลือดต่ำ, หายใจเร็ว หรือชีพจรเต้นเร็ว
3. High Altitude Cerebral Edema (HACE) คือ ภาวะสมองบวมจากการอยู่ในที่สูง พบได้ประมาณ 0.1-4% เป็นกลุ่มอาการที่มีความรุนแรง มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 15-20% เกณฑ์การวินิจฉัย คือ
- มีอาการของ AMS ร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัว (สับสน ซึม เห็นภาพหลอน) และ/หรือ เดินเซ
- มีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัว และ เดินเซ โดยที่อาจจะไม่มีอาการของ AMS ร่วมด้วยก็ได้
- นอกจากอาการดังกล่าว อาจมีการเห็นภาพหลอน โคม่า หมดสติ และเสียชีวิตได้
รักษาได้อย่างไร
- ถ้ามีอาการไม่รุนแรง เช่น AMS ให้พักผ่อน ไม่ออกแรงเพื่อลดการใช้ออกซิเจนของร่างกาย ดื่มน้ำให้เพียงพอ และ/หรือการให้ออกซิเจนในระยะสั้นๆ ควรรับประทานอาหารอ่อนและย่อยง่าย หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
- ถ้ามีอาการมาก ให้กลับลงสู่พื้นที่ต่ำทันที และปรึกษาแพทย์โดยเร็ว แพทย์อาจพิจารณาให้ยาขับปัสสาวะ หรือยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือการรักษาอื่นๆ ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้
จะป้องกันการเกิดกลุ่มอาการเหล่านี้ได้อย่างไร
- การป้องกัน เป็นการปฏิบัติที่สำคัญที่สุด ก่อนที่จะมีอาการรุนแรงเกิดขึ้น
- ศึกษาแผนและเส้นทางการเดินทางอย่างดี ว่าจะต้องเดินทางขึ้นที่สูงหรือไม่ และมีเวลาพักก่อนขึ้นที่สูงหรือพักระหว่างจุดนานแค่ไหน
- ปรับแผนการเดินทางให้ไม่ขึ้นที่สูงเร็วเกินไป เช่น แวะพักเมืองที่ต่ำกว่าประมาณ 1-2 วันเพื่อการปรับตัว
- ถ้าไม่มีเวลาพอที่จะพักร่างกายเพื่อปรับตัว ควรปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวังเมื่ออยู่ในที่สูง เช่น งดการออกกำลัง, ดื่มน้ำบ่อยๆ และสังเกตอาการผิดปกติของตนเอง พักผ่อนมากๆ, งดแอลกอฮอล์โดยเฉพาะช่วง 2 วันแรกหลังขึ้นที่สูง หากมีอาการของ AMS อาการมักจะหายไปได้เองใน 1-2 วัน หรือถ้ามีอาการรุนแรงมาก ควรปรึกษาแพทย์และเดินทางลงสู่พื้นที่ต่ำกว่าทันที
- คนที่ติดกาแฟ (คาเฟอีน) เขาแนะนำให้อย่าอด เพราะอาการจากการขาดคาเฟอีน (เช่น ปวดหัว) อาจทำให้สับสนกับอาการของ high altitude sickness (ไม่ได้ทำให้โอกาสเกิดโรคเยอะขึ้นนะครับ แต่อาการอาจคล้ายกันเฉยๆ)
- การใช้ยา เพื่อป้องกันการเกิด high altitude sickness ไม่จำเป็นต้องกินทุกราย ควรพิจารณาเป็นรายๆ ไป เช่น คนที่ขึ้นที่สูงเกิน 3500 เมตรใน 1 วัน หรือเคยมีอาการมาก่อน เป็นต้น ยาที่ใช้ ได้แก่ Acetazolamide (Diamox®) ให้ขนาด 125-250 มิลลิกรัม (บางท่านแนะนำให้กิน 250 มก. เลย) ทุก 12 ชั่วโมง ก่อนที่จะขึ้นที่สูงประมาณ 1-2 วัน (ไม่ควรกินก่อนเกิน 5 วัน) และกินต่อ 2 วันหลังขึ้นที่สูง (หรือต้องกินต่อเนื่อง ถ้ายังเดินทางขึ้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดสูงสุด) ซึ่งพบว่าอาจช่วยลดการเกิดหรือลดความรุนแรงของการเกิด high-altitude sickness ได้ (อ้างอิงจากคำแนะนำ CDC Yellow Book 2024 และ DeLellis SM, et al. Curr Sports Med Rep. 2013 Mar-Apr;12(2):110-4.) อย่างไรก็ตาม คนมีโรคประจำตัว ก่อนกินยาต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอครับ
ภาพ: Huayna Picchu, Peru ~ อย่าออกแรงหนักเกินไป พกน้ำติดตัวตลอดเวลา
ลุยกันต่อ
หลังจากที่ผมรอดพ้นจากกลุ่มอาการดังกล่าวมาได้แล้ว ก็ลุยต่อกันเลยครับ…
Machu Picchu หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่หลายคนใฝ่ฝันจะมาเยือน ผมก็เช่นกันครับ ที่นี่เป็นเมืองหนึ่งของชาวอินคาที่เพิ่งถูกค้นพบโดยชาวอเมริกันเมื่อปี 1911 ซึ่งตอนที่สเปนบุกมายึดคุสโกไม่พบเมืองนี้ (ถ้าพบอาจโดนทำลาย ไม่เหลือไว้ให้พวกเราได้มาเที่ยวชมแบบทุกวันนี้) และปัจจุบันก็ยังไม่มีใครรู้สาเหตุจริงๆ ของการก่อตั้งมาชูปิชู ที่นี่สูงน้อยกว่าเมือง Cusco ผมเลยไม่มีอาการอะไรทั้งที่ต้อง hiking ขึ้นยอด Huayna Picchu รายละเอียดของจุดต่างๆ ในเมืองนี้ ไว้จะหาโอกาสมาเขียนเต็มๆ อีกทีนะครับ
.
Huayna Picchu หรือ Wayna Picchu เป็นยอดเขาอีกด้านของเทือกเขานี้ เป็นอีกจุดไฮไลท์ที่น่ามาปีนมากครับ
.
ปิดท้ายด้วยวิวบนยอด Huayna
เล่นเอาหายเหนื่อยเลยครับ มองเห็น Machu Picchu อยู่เบื้องล่าง (ทางด้านขวา) รูปร่างของเมืองคล้ายนก Condor ซึ่งเป็นนกสำคัญของที่นี่
อย่าลืมนะครับ ถ้ามีโอกาส ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม การเตรียมตัว ศึกษาหาข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าป่วยหรือมีอาการอะไรผิดปกติ มันจะทำให้หมดสนุกเอาง่ายๆ