เบื้องหลังความเจริญของมหานคร ย่อมมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเสมอ
ทริปประเทศอังกฤษคงไม่ได้แปลกใหม่เท่าไร เพราะหลายคนคงไปมาหมดแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้ไปเยือนครับ
จุดเริ่มเกิดจากบังเอิญไปพบโปรของการบินไทย เหลือ 24,000 กว่าบาท และได้ช่วงที่น่าสนใจทีเดียวครับ คือ ช่วงปีใหม่ เลยไม่รั้งรอ เพราะอยากลองสัมผัสการฉลองปีใหม่ของต่างบ้านต่างเมืองบ้าง เลยตัดสินใจไปช่วง 23 ธันวาคม 2559 – 1 มกราคม 2560 รวมก็ 8 วันเต็ม (ไม่นับวันเดินทางหัวท้าย) หลายคนมักจะเดินทางไปหลายๆ เมือง อาจรวมประเทศสก๊อตแลนด์ซึ่งอยู่ทางเหนือด้วย แต่ลองดูๆ แล้ว อาจจะเหนื่อยเกินไปและใช้เวลาแต่ละที่ไม่ได้มาก เลยตัดสินใจไปแค่ลอนดอนและเมืองรอบๆ แค่นั้น
แผนการเดินทาง ตามแผนที่ด้านล่างเลยครับ
รีวิวนี้จะแบ่งเป็น 3 ตอนครับ ไม่เรียงตามวันที่ไปจริง (ตามแผนที่ด้านบน) แต่จัดกลุ่มให้มันเข้าพวกกันครับ
- เส้นทางย้อนอดีตรอบลอนดอน คือ Stonehenge, เมือง Bath, Oxford และ Windsor
- เส้นทางสายโรแมนติค “Cotswolds” >> คลิ๊กเลยครับ
- มหานครและสีสันวันปีใหม่ >> คลิ๊กเลยครับ
สารบัญ
เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ
เดินทางช่วงปลายปีจะดีไหม
- ช่วงเวลาที่เดินทาง ผมว่าเที่ยวได้ทั้งปี แต่ละฤดูก็สวยต่างกันไป (ดูจากรีวิวของคนอื่นๆ ด้วยครับ เพราะผมเพิ่งเคยไปครั้งนี้ครั้งแรก) ตามความเห็นส่วนตัวน่าจะไปช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศไม่ร้อน ต้นไม้ดอกไม้สวยเลย ส่วนช่วงฤดูหนาวถ้าไม่ชอบหิมะ ช่วงปลาย พ.ย.-ธ.ค. น่าจะดูเหมาะสมครับแต่บรรยากาศจะแห้งๆ ซักหน่อยเพราะใบไม้ร่วงหมดแล้ว แต่ที่อังกฤษอากาศค่อนข้างเปลี่ยนแปลงบ่อย ถ้าให้ดีเผื่อเวลาแต่ละที่ซักหน่อย เผื่อวันนี้อากาศไม่ดี พรุ่งนี้อาจจะดีชดเชยกันได้ถ้าอยากเห็นวิวสวยๆ อย่างของผม อยู่ลอนดอน 4 วัน อากาศโปร่งวันเดียว นอกนั้นหมอกลงเกือบทั้งวัน
- ข้อเสียเปรียบอีกอย่างตอนเที่ยวฤดูหนาวคือ มืดเร็วมาก พระอาทิตย์ขึ้น 8 โมง และตกตั้งแต่ 4 โมงเย็น สถานที่เที่ยวก็ปิดเร็ว ทำให้มีเวลาเที่ยวแบบมีแสงตะวันน้อย (แต่ข้อดีคือ ตื่นสายได้ เพราะเริ่มออกเที่ยว 9 โมงคนก็ยังน้อย และถ้าชอบดูวิวหรือถ่ายรูปกลางคืนก็ไม่ต้องนอนดึก 555)
- ถ้าจะไปช่วงวันคริสต์มาส เพราะหวังจะไปดูความคึกคักของงานฉลองคริสต์มาส >> หยุดคิดและเปลี่ยนวันเดินทางเลยครับ เพราะมันเงียบมากๆ ร้านปิด “ทุกร้าน” ยังกะป่าช้า แม้แต่ supermarket ก็ปิด ร้านอาหารในโรงแรมบริการเฉพาะแขกของตัวเอง (ซึ่งบางโรงแรมก็ไม่มี และถึงมีมันก็แพงมากๆๆ) ต้องอาศัยร้านสะดวกซื้อตามปั๊มน้ำมัน และพาลจะได้อดอาหารโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ก็ต้องเตรียมอาหารสำเร็จรูปไปจากเมืองไทย
- แต่ถ้าชอบช้อปปิ้ง ช่วงปลายปีวันที่ 26 ธันวาคมจะเป็นวัน Boxing day ลดกระหน่ำทุกร้าน แต่ต้องทนกับฝูงคนมหาศาล แต่สามารถเลี่ยงได้ครับ เพราะเขาลดกันต่อเนื่องไปอีกหลายวัน ไม่ต้องรีบภายในวันเดียว
การเตรียมตัวเดินทาง
ทำวีซ่า >> สามารถหาข้อมูลในอินเตอร์เนต มีแนะนำมากมายครับ ขอไม่ยากเลย
การเดินทางภายในลอนดอน
- ถ้าเดินทางในลอนดอน ใช้ รถใต้ดิน (Tube) สะดวกที่สุดครับ เพราะขับรถยาก วงเวียนเยอะมาก และวันธรรมดาจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเวลาเข้าโซนที่เป็น central London (Zone 1-2) และที่จอดรถหายากและเสียเงินครับ
- การขึ้น Tube ถ้าใช้ Oyster Card สะดวกดีครับ ซื้อง่ายที่ตู้อัตโนมัติที่สถานี ให้ศึกษาว่า zone ที่เราจะเดินทาง มีราคา cap เท่าไร (ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างของโซน 1,2) (หมายความว่า ถ้าเดินทางเกินราคา cap แล้ว เราไม่ต้องจ่ายค่ารถเพิ่ม คิดง่ายๆ ถ้าเดินทางใน zone 1,2 ถ้านั่ง Tube ใน 1 วันเกิน 3 ครั้งขึ้นไป ก็คุ้มแล้วครับ) แล้วดูว่าเราอยู่กี่วันก็เติมเงินบัตรเท่ากับ ค่ามัดจำบัตร + ราคา cap ตามจำนวนวัน เช่น อยู่ 3 วัน ก็ต้องเติมอย่างต่ำ 5+(6.6 x 3) ประมาณ 25 ปอนด์ เป็นต้นครับ แต่ตรงนี้ไม่ต้องเครียดครับเติมเกินไว้ก่อนก็ได้ เพราะวันจะกลับสามารถ refund ได้ทั้งหมดที่ตู้อัตโนมัติเช่นกันครับ
มีบัตรอีกประเภทคือ travelcard สามารถซื้อเติมใน Oyster card ได้ มีสิทธิพิเศษในการลดค่าเข้าสถานที่เที่ยวบางที่ในลอนดอนได้ เช่น โปรมา 2 คนจ่าย 1 คน เป็นต้น ตัวอย่างตามตารางครับ ลองดูรายละเอียดในเวบและเทียบราคาดูว่าเราจะเข้าสถานที่เที่ยวที่ไหนบ้าง ดูว่าคุ้มไหม
- London Pass คุ้มไหม >> อันนี้แล้วแต่คนครับว่าแผนเที่ยวจะเข้าสถานที่ไหนบ้าง มีทั้ง 3-day, 7-day (pass นี้มีแค่ค่าเข้าสถานที่ ไม่รวมค่ารถสาธารณะ) หรือว่าจะซื้อเป็น travelcard (ได้ทั้งค่ารถสาธารณะและส่วนลดค่าเข้าสถานที่บางแห่ง) ของผมซื้อ London Pass ครับเพราะจะอยู่ 3 วันพอดี และจัดโปรแกรมคร่าวๆ คิดว่าเข้าเกินกับราคา pass แน่ะ โดยซื้อออนไลน์ไปก่อนแล้วเขาจะส่งมาให้ที่บ้าน (เสียค่าส่ง) แต่จะไปซื้อที่โน่นก็ได้ครับ แต่ไปๆ มาๆ ใช้ไม่คุ้มซะงั้นเพราะบางที่ผิดแผนคนเยอะมากๆๆๆ ต่อแถวไม่ไหว เลยไม่ได้เข้า สรุปขาดทุนไปประมาณ 10 ปอนด์ รายละเอียดลิ๊กตามนี้เลยครับ
การเดินทางรอบๆ ลอนดอน
- ถ้าสะดวกที่สุดคือ ขับรถเอง ซึ่งถ้าไม่ได้ขับในลอนดอนก็ขับไม่ยากครับ (ไม่นับรวมความยากของแผนที่ครับ เพราะผมใช้ google map สะดวกมาก แต่ถ้ากางแผนที่เองนี่ก็ยากเหมือนกันเพราะซอยเล็กซอยน้อยเยอะ ทางวันเวย์อีกจิปาถะ) เพราะพวงมาลัยขวาเหมือนๆ บ้านเรา กฎก็ไม่ต่างมาก แต่ที่นี่วงเวียนจะเยอะ หลักง่ายๆ ก็ตามหลักสากล (ที่เมืองไทยมักไม่ทำ) คือ ให้รถทางขวา (หรือรถในวงเวียน) ไปก่อน และคอยดูป้าย speed limit ให้ดี และห้ามขับใน Bus lane แค่นั้นเองครับ สบายมาก วิธีเช่ารถก็เหมือนประเทศอื่นๆ ครับ ช่วงปีใหม่ค่าเช่ารถแพงมากๆๆๆ ผมเช่าราคาสูงกว่าช่วงทั่วไปเกือบ 4-5 เท่า (จะเท่าค่าเครื่องบินอยู่ละ 555) แต่ก็ต้องยอม
- รถไฟหรือรถบัสระหว่างเมืองก็เป็นอีกทางเลือกครับ สะดวกถ้าไปตามเมืองใหญ่ๆ แต่ผมมีแผนจะไปตามเมืองเล็กๆ ใน Cotswold ด้วย ซึ่งรถสาธารณะน้อยและอยากปรับแผนเอง ไม่ต้องขึ้นกับรอบรถ เลยขับเองดีกว่า
- ทัวร์ ซึ่งมักจะรวมค่ารถรับส่งด้วยแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเริ่มจากลอนดอน ทำให้บางทีต้องไป-กลับลอนดอนทุกวัน เหมือนจะเสียเวลาเดินทางไปหน่อย
พักที่ไหนดี
เหมือนประเทศอื่นครับ มีทั้งโรงแรม, airbnb, bed and breakfast เลือกตามเวบที่เราคุ้นเคยกันได้เลยครับ แต่ถ้าให้สะดวกคือ
- ในลอนดอน เลือกพักใน zone 1,2 จะสะดวกหน่อยเพราะที่เที่ยวส่วนใหญ่อยู่ในโซนนี้ (ตัวเลขโซนอยู่ในแถบสีเทา-ขาวในแผนที่ด้านล่าง) โดยเลือกที่ใกล้กับสถานี tube ซึ่งถ้าถูกหน่อยจะอยู่รอบนอกๆ หน่อยครับ ถ้าให้ดีถ้ากระเป๋าสัมภาระเยอะ เลือกที่ๆ ใกล้สถานีที่มีลิฟท์ (ในแผนที่จะมีรูปรถเข็นอยู่) เพราะจะเหนื่อยมากถ้าต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นๆ ลงๆ บันได
- ถ้าเดินทางรอบๆ ลอนดอนและขับรถเอง อย่าลืมดูโรงแรมที่มีที่จอดรถให้ด้วย ซึ่งส่วนมากจะมีค่าจอดรถวันละ 10-20 ปอนด์ แต่ก็ดีกว่าต้องไปวนหาที่จอดรอบนอกโรงแรมซึ่งอาจจะหายากและก็ยังเสียเงินด้วย ดีไม่ดีอ่านเงื่อนไขผิดโดนปรับอีก และควรเลือกโรงแรมที่ใกล้ที่เที่ยวหน่อย เพราะสามารถจอดรถทิ้งไว้ที่โรงแรมและออกเดินเที่ยวได้เลย ไม่ต้องขับมาหาที่จอดอีก
เส้นทางสู่ Bath
วันแรกออกจากโรงแรมใกล้สนามบิน ก็จะแวะที่ Stonehenge ก่อนและต่อไปพักที่ Bath แต่…เพิ่งรู้ว่าวัน Christmas Eve เนี่ย Stonehenge ปิด ไปถึงประตูทางเข้าละ แต่ปิด…เลยอดเข้าครับ แต่ยังได้เห็นไกลๆ ตอนขับรถผ่าน ถือว่าก็โอเคครับแต่ก็เสียดายอยู่ดี
Stonehenge
หรือกองหินมหัศจรรย์ (ชื่อหลังนี่ตั้งเอง เพราะดูๆ เหมือนกองหินธรรมดาๆ 555 แต่จริงๆ ก็มีความอัศจรรย์ซ่อนอยู่ทั้งความหมาย จุดประสงค์ในการสร้างและวิธีการสร้าง ซึ่งก็มีแต่ทฤษฎีต่างๆ แต่ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่ามาจากอะไร)
ขับต่อมาไม่นานก็ถึงเมือง Bath
Bath
เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ อยู่ห่างจากลอนดอนประมาณ 1 ชั่วโมง เดินทางสะดวกมาได้ทั้งขับรถมาเองหรือรถไฟจากลอนดอน ตอนแรกคิดว่าเป็นเมืองเล็กๆ ไม่มีอะไร มาดูแค่โรงอาบน้ำโรมันแค่นั้น แต่จริงๆ ก็มีร้านค้า ร้านอาหารมากมายให้เดินเพลินๆ นอกจากนี้ Roman Baths ที่เคยคิดว่ามีแต่สระน้ำเขียวๆ แต่จริงๆ มีอะไรให้ดูมากกว่านั้นมากครับ อยู่เป็นชั่วโมงก็ไม่เบื่อ
ที่เที่ยวที่สำคัญ
– Roman Baths
– Bath Abbey
– Pulteney Bridge
– The Circus
– Royal Crescent
– Sally Bunn’s ร้านอาหารขึ้นชื่อของที่นี่
แผนที่การเดินเที่ยวใน Bath (ผมพักและจอดรถที่ Holiday Inn จุดสีน้ำเงินในแผนที่ ซึ่งเดินมาเที่ยวในเมืองได้เลย)
Roman Baths
เป็นโรงอาบน้ำที่ชาวโรมันสร้างไว้เมื่อ 2,000 ปีก่อน มีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติหลายบ่อ มีระบบน้ำที่เชื่อมถึงกัน และมีการสร้างสถานที่สำคัญและวิหารล้อมรอบซึ่งยังคงหลงเหลือให้เราได้ชมและเรียนรู้กัน เขาอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีมากครับ จัดทำเป็นทางเดินและพิพิธภัณฑ์ได้อย่างน่าชม ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ ราคาเข้าชม 15.5 ปอนด์ (17 ปอนด์ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.) นอกจากนี้ยังมี Fashion Museum และ Victoria Art Gallery ถ้าจะเข้าด้วยก็เสียเพิ่มครับ ตั๋วเหมาอยู่ 21.5 ปอนด์ (ราคาปี 2016)
แผนผังจำลองของ Roman Bath
The Terrace เป็นระเบียงชมวิว ที่มองลงมาเห็น Great Bath ตอนแรกไปที่นี่นึกว่าให้มีแต่บ่อน้ำร้อนนี้ให้ดู แต่จริงๆ แล้วที่นี่มีอะไรให้เดินดูได้นานเป็นชั่วโมงๆ เลยครับ มี audio tour ให้ฟังตามไปด้วย (ฟรี) น้ำจะเป็นสีเขียวเนื่องจากสาหร่ายที่เติบโตจากอุณหภูมิที่สูงของน้ำและแร่ธาตุ
ด้านหนึ่งจะเห็น Bath Abbey อยู่เป็นฉากหลัง
มีรูปสลักของตัวแทนเทพต่างๆ อยู่รอบระเบียง
เดินต่อไปจะเป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์แสดงชิ้นส่วน สิ่งของต่างๆ ที่ค้นพบบริเวณนี้ มีการสร้างภาพจำลองของชิ้นส่วนที่หายไปให้ดูด้วย ทำให้จินตนาการความยิ่งใหญ่และสวยงามในอดีตได้ไม่ยากนัก
Temple of Pediment เป็นหน้าจั่วที่หลงเหลืออยู่ ตรงกลางเป็น Gorgon ซึ่งเป็นตัวแทนของเทพ Sulis Minerva
และทางเดินจะพาไปยังซากปรักหักพังของวิหาร (Temple Courtyard)
ศีรษะทองแดงของเทพ Sulis Minerva ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรูปสลักที่เดิมอยู่ในวิหาร
เหรียญโรมัน
Sacred Spring
Overflow ทางระบายน้ำ หินมีสีเหลืองแปลกตาจากแร่ที่อยู่ในน้ำ
Plunge Pools
เดินต่อมาจะพามาถึงชั้นล่างรอบๆ Great Bath
Bath Abbey (Abbey Church of St Peter and St Paul)
เป็นโบสถ์หรือวิหารที่สำคัญของเมือง สามารถเข้าชมได้ครับ (ไม่ฟรี) มีทั้งเพดานที่มีลักษณะเป็น vault ซึ่งนอกจากจะช่วยกระจายแรงรับน้ำหนักโครงสร้างของโบสถ์แล้วยังสวยด้วยครับ กระจกโมเสคเป็นเรื่องราวต่างๆ และออร์แกนเก่าแก่ (ที่พูดมานี่ไม่ได้เห็นนะครับ 555 ดูจากในอินเตอร์เนตเอา เพราะตอนไปถึง ปิดแล้วเพราะมัวแต่เดินใน Roman Bath เลยไม่ได้เข้า)
สังเกตว่าที่เสาทั้งสองด้านจะเป็นรูปเทวดาปีนบันไดอยู่ เรียกว่า Ladders of Angels ดีไซน์นี้ได้แรงบันดาลใจจากความฝันของนักบุญว่ามีเหล่าเทวดาปีนขึ้นลงจากสวรรค์
Pulteney Bridge
เป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Avon แม่น้ำสายหลักของเมืองนี้ สองข้างของสะพานจะเป็นร้านค้า ให้ความรู้สึกเหมือน Vechio Bridge ของอิตาลี
The Circus
เป็นกลุ่มตึกที่สร้างขึ้นเป็นวงกลม และมีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงกลาง ถ้าดูจากมุมสูง จะเห็นเป็นวงต่อกัน สวยดีครับ
Royal Crescent
เป็นกลุ่มตึกที่สร้างขึ้นเป็นวงพระจันทร์เสี้ยวคล้ายกับ The Circus ส่วนใหญ่เป็นบ้านและโรงแรม
เสร็จแล้วก็เดินเล่นในเมืองครับ มีร้านน่าเดินเล่นหลายร้าน (แต่ 6 โมงเย็นก็ปิดกันหมดแล้ว เร็วเหลือเกิน เลยแทบไม่ได้เดินดูอะไรเลย) แต่ที่พลาดไม่ได้ คือ ต้องมากินร้านเก่าแก่ที่มีชื่อของที่นี่ คือร้าน Sally Lunn’s ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน อร่อยมากครับ ทั้งทำเป็นอาหารคาวและหวาน
และเดินชมบรรยากาศรอบๆ เมือง (ซึ่งร้านค้าปิดเร็วมากกก 6 โมงเย็นก็ปิดแล้ว)
จบจาก Bath เราจะไปต่อกันที่เส้นทางสายโรแมนติกของอังกฤษตามแผนที่ตอนต้นของกระทู้ คือเส้นทางเดินทางในเมืองต่างๆ แถบ Cotswold ครับ แต่จะขอข้ามเก็บไว้เป็นตอนที่ 2 และพาแว้บมาที่ Oxford กันก่อนครับ
Oxford
เป็นเมืองที่มีมหาวิทยาลัยเก่าแก่อยู่หลายแห่ง อาคารบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างทั้งหลายยังคงให้กลิ่นอายของความเก่าและโบราณแต่มีเสน่ห์มาก เสียดายที่ผมมีเวลาที่นี่แค่ค่อนวัน แค่เดินดูภายนอกก็หมดเวลาแล้วครับ ไม่ได้เข้าไปชมที่ไหนเลย เสียดายมาก
ที่เที่ยวที่สำคัญของ Oxford
– Christ Church College
– Tom Tower
– University Church of St. Mary The Virgin
– มหาวิทยาลัยอื่นๆ เช่น Queen’s College, All Souls College, Trinity College เป็นต้น
– Bridge of Sigh
– Bodleian Library
– พิพิธภัณฑ์ต่างๆ เช่น Ashmolean museum, University Museum of Natural History เป็นต้น
– แหล่งช้อปปิ้งต่างๆ บริเวณถนน Cornmarket Street และ Covered Market
ทุกที่สามารถเดินถึงกันได้หมดครับ ตามแผนที่ด้านล่าง (ผมพักและจอดรถทิ้งไว้ที่ Mercure Oxford Eastgate จุดสีม่วงในรูปด้านล่าง)
Christ Church College
เป็นวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดใน Oxford สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1525 ภายในจะเป็นสถานที่ที่หลายคนคงคุ้นกันดี คือเป็นฉากโรงอาหารของเรื่อง Harry Potter ซื่งเป็นส่วนของ Great Hall ของที่นี่
มีสวนและอาคารอยู่รายรอบ ตอนที่ไปเป็นช่วงเช้าประมาณ 9 โมง ยังมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะบนยอดหญ้ากระทบกับแสงแดดยามเช้า ทำให้วิวที่เห็นสวยมากครับ
Tom Tower
อยู่อีกด้านของ Christ Church มีระฆัง (Great Tom) หนักถึง 7 ตัน และด้านหลังของ Tower ในรูปจะเป็นลานกว้างของ Christ Church College ซึ่งเรียกว่า Tom Quad
Radcliffe Camera
University Church of St. Mary The Virgin (Oxford Church)
สามารถขึ้น Tower ดูวิวด้านบนได้ครับ บันไดค่อนข้างแคบ ไม่สูงมาก (ประมาณ 124 ขั้น) ค่าขึ้น 4 ปอนด์
วิวจากด้านบน ด้านซ้ายเป็น Brasenose College และด้านขวาเป็น All Souls College
Bridge of Sigh (Hertford Bridge)
ลักษณะคล้ายกับ Bridge of Sigh ของอิตาลี
Bodleian Library
ตึกที่อยู่ไกลๆ ในรูปล่างครับ เสาของกำแพงเป็นรูปปั้นคนประหลาดๆ ดี
The Queen’s College
Cornmarket Street
เป็นถนนที่มีร้านให้ช้อปปิ้งพอสมควร ร้านอาหารมากมาย เป็นย่านที่คึกคักทีเดียวครับ
Covered Market
วันที่ไป ปิดครับ เลยไม่ได้เข้า แอบส่องเข้าไปมีร้านมากมาย
บรรยากาศในเมือง
บทสรุปของ Oxford
ผมว่าควรอยู่ซักสองวันให้มีเวลาเดินเที่ยว เข้าที่นั่นที่นี่ให้ดื่มด่ำหน่อยครับ จากที่นี่ถ้าขับรถเองก่อนแวะเข้าลอนดอน ถ้าชอบช้อปปิ้งก็แวะไปที่ Bicester Village เป็น outlet ใหญ่ใกล้ลอนดอนได้ สามารถทำ tax refund และรับเงินคืนได้เลย หรือถ้าใครเป็นแฟน Harry Potter ต้องไม่พลาด Warner Bros Studio ครับ **ถ้าวางแผนจะมาต้องจองล่วงหน้าผ่านเวบอย่างน้อย 1 เดือนนะครับ ผมชะล่าใจไป ดูตอนก่อนมา 2 เดือน เห็นเหลือเยอะ เลยรอมาจองประมาณเกือบเดือนก่อนเดินทาง ปรากฎเต็มหมดเลย เลยอด เสียดายมากๆๆๆ
ส่วนผมได้ไป Bicester Village เพราะชวด Harry Potter อย่างที่บอกไป วันที่ไปคือ Boxing day พอดี แทบจะเหยียบกันตาย ในรูปนี่ตอนเกือบสองทุ่มแล้วครับคนน้อยลงเยอะแล้ว เลยมีเวลาหายใจหายคอหน่อย
สถานที่ใกล้ๆ ลอนดอนอีกที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาถ้ามาที่ลอนดอน เพราะไม่ไกลและเดินทางสะดวกมาก คือ Windsor Castle ครับตอนแรกจะแวะที่นี่ตอนขับรถออกจากลอนดอนในวันแรก แต่พอดีสามารถใช้ London Pass เข้าได้ฟรี เลยต้องมาที่นี่ช่วงที่อยู่ลอนดอนเพราะแผนของผมจะเริ่มใช้ pass ในช่วงวันหลังๆ ของการเที่ยว
Windsor Castle
การเดินทางมา Windsor Castle
- รถบัส ใช้สาย Green line ขึ้นจากสถานี Victoria Coach Station
- รถไฟ ขึ้นได้จากสถานีรถไฟ Paddington ครับ ต้องไปต่อรถไฟ 1 ต่อ ที่สถานีเมือง Slough แต่ไม่ยุ่งยากครับ รถเยอะ รอไม่นาน ซื้อตั๋ว round trip ไปเลยทีเดียวตอนขาไปจะถูกกว่าซื้อ one way
จากสถานีรถไฟก่อนไปยังตัวปราสาทจะเป็นแหล่งช้อปปิ้งและร้านอาหารย่อมๆ เดินเพลินครับ วันที่ไปหมอกลงหนามากครับ ทั้งวันเลย รูปเลยดูขมุกขมัวหน่อย
Windsor Royal Shopping
มาถึงจุดกลางเมือง มี Queen Victoria Statue ตั้งอยู่กลางวงเวียน
Windsor Castle
สร้างตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1070 เป็นพระราชฐานของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน หลักๆ ของที่นี่จะเป็นส่วนแสดงของสิ่งต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ พระราชินี บัตรเข้าชมแบบปกติ 20 ปอนด์ (London Pass เข้าฟรี) มีส่วนจัดแสดงหลักๆ อยู่ 2 ส่วน คือ State Apartment และ Queen Mary’s Dollhouse ที่นี่มี audio tour ให้ฟรีด้วยครับ
วิวจากมุมสูง
ทางเดินเข้า Windsor Castle มองเห็น Round Tower และ South Wing
The Round Tower
Upper Ward
Statue of Charles II ที่ Upper Ward
State Apartment
แสดงห้องต่างๆ ของพระมหากษัตริย์และพระราชินี ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ห้ามถ่ายรูปด้านในครับ รูปด้านล่างเอามาจากอินเตอร์เนต ดูข้อมูลเพิ่มเติมกดลิงค์เลยครับ
Queen Mary’s Dollhouse
เป็นเหมือนบ้านตุ๊กตาที่เขาจำลองห้องต่างๆ มาไว้ น่ารักดีครับ แต่ภายในไม่ให้ถ่ายรูปเช่นกันครับ ภาพข้างล่างเป็นภาพจากเวบ royalcollection.org.uk
นี่แค่รอบๆ ลอนดอนครับ เป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ซะเป็นส่วนใหญ่ ใครชอบศึกษาพวกนี้ ดูวัฒนธรรมเก่าๆ น่าจะชอบและไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ
ตอนหน้าจะพาไปเส้นทางที่มีคนขนานนามไว้ว่าเป็นเส้นทางสายโรแมนติกแห่งหนึ่งในยุโรป คือ Cotswold ครับ
4 Trackbacks / Pingbacks
Comments are closed.