อุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ (มากๆ) และเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวที่มาถึงอเมริกาไม่ควรพลาด หลายคนถามผมว่า ถ้าเลือกอุทยานแห่งชาติได้ที่เดียว จะเลือกมาที่ไหน? ผมจะตอบว่า….
สารบัญ
Yellowstone National Park
Yellowstone National Park (เวบไซด์อุทยาน)จัดเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของโลกตั้งแต่ปี 1872 ตั้งอยู่บนที่ราบสูงของเทือกเขาร๊อคกี้ คาบเกี่ยวพื้นที่ 3 รัฐ คือ Wyoming (เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่กว่า 90%), Idaho และ Montana
Yellowstone นี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟที่เรียกว่า Supervalcano พื้นที่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันปกคลุมอยู่บนภูเขาไฟที่ยังปะทุกรุ่นๆ อยู่ การระเบิดครั้งใหญ่ล่าสุดเกิดเมื่อประมาณ 600,000 กว่าปีก่อน จนมีหลายคนบอกว่าปัจจุบันจะครบรอบการระเบิดอีกครั้ง ถ้าระเบิดจริงล่ะก็พื้นที่อเมริกากว่าหนึ่งในสามคงพังราบคาบอย่างแน่นอน
ทั่วพื้นที่ของ Yellowstone จะประกอบไปด้วยความหลากหลายของภูมิประเทศครับ มีทั้งบ่อน้ำร้อน (hot springs), น้ำพุร้อน (geysers), บ่อโคลนเดือด (mudpots), ไอน้ำร้อน (fumaroles), น้ำตก (waterfalls), ทะเลสาบ (Lake), ภูเขาและช่องเขา (canyons) และทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ (Valley) เรียกได้ว่า มาที่นี่ที่เดียว ได้เที่ยวทุกแบบ ขาดก็แต่ทะเลทรายกับทะเล
บ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อน บ่อโคลนเดือดเหล่านี้เกิดจากนำ้ใต้ดินที่ได้รับความร้อนถูกดันขึ้นมาตามรอยแตกของพื้นโลก และจะกลายเป็นอะไรก็ขึ้นกับปริมาณน้ำ ดิน โคลนบริเวณนั้น
รู้ไว้ก่อนไป Yellowstone
อะไร “ห้าม” ทำ
จริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ห้ามทำในอุทยานทุกที่ครับ ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม แม้ประเทศไทยเองก็เช่นกันครับ
และควรต้องปฏิบัติตามคำเตือนของเจ้าหน้าที่อุทยานอย่างเคร่งครัดครับ เพราะนอกจากจะเพื่อความปลอดภัยของตัวเองแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับสภาพธรรมชาติและระบบนิเวศของที่นั่นด้วย
การเดินทาง
มาได้หลายทางครับ เหมือนการเดินทางไปที่อื่นๆ คือ ได้ทั้งขับรถ และมากับทัวร์ ผมเลือกการขับรถเที่ยวครับ เพราะยืดหยุ่นมากกว่า และใช้เวลาได้เท่าที่ต้องการ ไม่ต้องรีบร้อน
การขับรถมาที่นี่ เริ่มได้หลายที่ครับ แต่ที่นิยมกันคือ
1. นั่งเครื่องบินมาลงที่ Jackson Hole ซึ่งใกล้กว่า และระหว่างทางจะไป Yellowstone ก็จะได้แวะอุทยานแห่งชาติที่สวยอีกที่หนึ่ง คือ Grand Teton National Park ครับ ซึ่งสมควรแวะอย่างยิ่งครับ (แต่ผมไม่ได้แวะครับ เพราะเวลาไม่พอ) แล้วค่อยต่อไปที่ Yellowstone ถ้ามาตาม route นี้ น่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 6-7 วันรวมวันเดินทางหัวท้าย
2. ส่วนผมเลือกที่เส้นทางนึงครับ คือ นั่งเครื่องมาลง Salt Lake City และเช่ารถขับต่อไปพักที่ West Entrance ของ Yellowstone ซึ่งตรง West Entrance เมืองขนาดเล็กๆ มีโรงแรมและร้านอาหารหลายร้าน ค่อนข้างสะดวกทั้งการกินอยู่และการเดินทางเข้าไปเที่ยวในอุทยาน
มาช่วงไหนดี
Yellowstone เปิดตลอดทั้งปีครับ โดยช่วงที่คนไปมากที่สุด คือ ช่วงฤดูร้อน (กรกฎาคม-สิงหาคม) ส่วนช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน-มีนาคม) บางจุดอาจปิดแต่ก็มีกิจกรรมหลายอย่างให้ทำ ส่วนเดือนที่เหลือสามารถเที่ยวได้ตลอดครับ คนจะไม่เยอะเท่าช่วงฤดูร้อน ลองเช็คสภาพอากาศและเวลาที่จะมาเที่ยวใน เวบไซด์ ได้ครับ
พักที่ไหนดี
ที่ผมว่าสะดวกที่สุด ก็คือ
1. ที่พักข้างในอุทยาน ตามปกติ ระยะเวลาที่ใช้เที่ยวใน Yellowstone ถ้าเอาแบบไม่เหนื่อยมากและเดินดูให้ครบทุกที่ (หรือเกือบทุกที่) เขาบอกประมาณ 3-4 วันกำลังดี และเช่าที่พักข้างในอุทยาน (มีทั้ง campground, hotel, cabin แต่ต้องจองกันเกือบข้ามปี ดูได้จาก ลิงค์นี้ ครับ) จะประหยัดเวลาในการขับรถกว่าเข้าออกอุทยาน
2. ที่พักตรง West Entrance มีให้เลือกหลายที่ครับ และเป็นที่ๆ สะดวกที่สุดถ้าเดินทางจาก Jackson Hole หรือ Salt Lake City
ผมพักที่โรงแรม Clubhouse Inn ถือว่าสะดวกสบายทีเดียว ห่างจากทางเข้า West entrance ไม่ถึง 5 นาที มีอาหารเช้าและ wifi (อืด) ฟรี
การเดินทางในอุทยาน
ค่าเข้าอุทยาน ซื้อตั๋วครั้งเดียว เข้าได้ 7 วัน (ราคา update 2017)
ถนนหลักในอุทยาน จะเป็นรูปเลข 8 ตามรูปข้างล่าง ระยะทางรวมเกือบ 600 กิโลเมตร เลยแบ่งเที่ยววันละครึ่ง คือ วันแรกเที่ยวจุดที่ 1-4 และวันที่สอง เที่ยวจุดที่ 5-10 ครับ
ไปกันเลยยยยย
วันแรกเริ่มล้อหมุนประมาณ 8 โมงเช้า เสียค่าเข้าอุทยานรถคันละ 25 เหรียญ ระยะทางจาก West entrance gate ไปยังจุดแรก ประมาณ 20 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางมีจุดแวะให้จอดชมวิวและถ่ายรูปเรื่อยๆ จุดแรกแวะ คือ Gibbon Fall เป็นจุดชมวิว ดูน้ำตกเล็กๆ (ไม่มีรูปครับ)
Artists’ paintpots (จุด 1)
จุดนี้เป็น trail เล็กๆ ชม mudpot, hot springs หลายจุด เดินเป็น loop ยาวประมาณกิโลกว่าๆ ที่ได้ชื่อนี้เห็นบอกว่าเป็นเพราะ สีสันลวดลายของบ่อที่เกิดจากแบคทีเรียทำให้เหมือนคนวาดไว้ ในรูปมีควันบังเยอะไปหน่อย
Norris Geyser Basin (จุด 2)
เป็น Geyser ที่มีอุณหภูมิของน้ำสูงที่สุดและมีความเป็นกรดสูง ความสวยงามของที่นี่ คือรูปร่างของบ่อ การปะทุของน้ำ, ควัน และสีสันต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกิดจากแบคทีเรีย (bacterial thermophiles) และพืชเซลล์เดียวพวกสาหร่ายที่สามารถมีชีวิตอยู่ในที่อุณหภูมิสูงๆ ได้
Norris Geyser Basin มี 3 ส่วนใหญ่ๆ แต่ผมเดินไปแค่ 2 ส่วน คือ Porcelain basin และ Back basin
Porcelain Basin
Emerald Spring
Cistern Spring
ที่นี่มีน้ำพุร้อนที่มีการปะทุที่สูงที่สุด คือ Steamboat Geyser (ตอนแรกคิดว่า Old Faithful Geyser จะสูงที่สุดซะอีกเนื่องจากเป็นจุดที่มีชื่อเสียงมาก แต่ความจริงคงเป็นเพราะสามารถทำนายเวลาปะทุได้แม่นยำมากกว่า)
Mammoth hot spring (จุด 3)
เราแวะกินมื้อกลางวันกันแถวๆ ที่นี่เป็น Hot spring ที่ใหญ่ที่สุดใน Yellowstone อยู่บนภูเขาที่หินมีสีขาวๆ ที่มีส่วนประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต (Terrace mountain) นำ้ของ Mammoth มาจาก Norris Geyser Basin และประกอบไปด้วย lower และ upper terrace แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีน้ำแล้ว เห็นเขาว่าเพราะการเกิดแผ่นดินไหวแม้จะไม่รุนแรงแต่เป็นเหตุให้รอยเลื่อนเคลื่อนตัวทำให้น้ำไหลออกไปเป็นเหตุให้นำ้แห้งอย่างในรูปที่เห็น ที่นี่มีให้เดิน trail ไปยัง lower และ upper terrace ตอนนี้ส่วน lower ดูสวยกว่าเพราะ upper ไม่ค่อยมีน้ำแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าถ้ามาช่วงต้นๆ ของ summer จะมีน้ำมากกว่านี้หรือเปล่า
Lower terrace
ทางเดินไป Upper terrace
Upper terrace แห้งผาก
Grand Canyon of the Yellowstone (จุด 4)
ระหว่างทางจากจุดที่ 3 มาถึงจุดที่ 4 นี้ จะเป็นวิวของภูเขา, Canyon, ทุ่งหญ้า และต้นสน สามารถเจอสัตว์ต่างๆ ได้มากมาย แต่ผมเจอแต่ bison กับ black bear ตัวนึง
Grand Canyon นี้เกิดจากการแยกตัวของพื้นโลกจากการระเบิดของภูเขาไฟ มี Yellowstone river ไหลผ่าน ซึ่งรับนำ้มาจาก Yellowstone Falls ซึ่งมี upper fall และ lower fall น้ำเยอะและไหลแรงมาก
ความยาวของ Canyon ยาวประมาณ 38 กิโลเมตร ลึกประมาณ 240-370 เมตร
หินของหน้าผาบริเวณ Canyon จะเป็นสีเหลืองๆ ไม่รู้ว่าชื่อ Yellowstone มาจากเหตุนี้หรือเปล่า ??
ที่นี่มีทางให้เดิน trail ลงไปดูจุดชมวิวใกล้ๆ น้ำตกด้วยครับ แต่ผมไม่ได้ลงเพราะกลัวเวลาไม่ทัน
ที่ลาดเขาทาง South rim มีจุดที่เรียกว่า Artist Point ตอนแรกคิดว่าตั้งชื่อนี้เพราะหินเป็นสีๆ เหมือนวาดไว้ แต่ดูใน wiki แล้วเห็นบอกว่าคนตั้งชื่อ ต้ังเพราะคิดว่ามีจิตรกรวาดภาพน้ำตกตรงนี้ไว้ (เลยตั้งชื่อว่า artist point) แต่เอาเข้าจริงสืบไปมาเห็นบอกรูปนำ้ตกในภาพเป็น north rim ไม่ใช่ south rim แต่คนก็ยังเรียกชื่อ Artist point จนปัจจุบัน
หมดวันด้วยกำลังขาที่อ่อนล้า แต่ประทับใจ ยังดีที่ไม่ร้อนมาก แต่แดดแรงมาก ออกจากอุทยานได้ก็เกือบสามทุ่ม โชคดีที่ยังพอหาอะไรกินในเมืองได้ แต่ถ้าดึกกว่านี้คงต้องพึ่ง McDonald แน่ๆ
วันรุ่งขึ้น
ออกเดินทางประมาณเกือบแปดโมงเหมือนเดิมครับ เข้าทาง West entrance ลงไป loop ล่างของเลข 8
Lower Geyser Basin (จุด 5)
เป็นจุดรวมของ geyser ที่มีขนาดใหญ่หลายๆ ที่ เช่น Fountain Paint Pots ซึ่งเป็น mud pots ฯลฯ และมี trail เดินรอบๆ ซึ่งไม่ยาวมากนัก
Fountain Paint Pots
จากนั้นขับเข้าไปตาม Firehole Lake drive ซึ่งมี geyser หลายที่ให้ดู
Great Fountain Geyser มีลักษณะเป็นลาน เป็นชั้นๆ เตี้ยๆ จะปะทุทุก 8-12 ชม. แต่ตอนที่ไปยังไม่ปะทุ
White Dome Geyser ตอนกำลังปะทุ (ลูกข้างหลัง)
แล้วก็ขับเลยไปต่อที่ Firehole Lake มีวิวให้ดูไม่มากนัก แต่ที่ lake ก็สวยดี
Midway Geyser Basin (จุด 6)
จุดนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ของ Yellowstone เลยก็ว่าได้ ที่นี่ประกอบด้วย 2 Geysers ใหญ่ๆ ที่สวยและมีชื่อเสียงมาก คือ Excelsior Geyser ซึ่งน้ำจากที่นี่จะไหลลงสู่ Firehole river และ Grand Prismatic Spring ซึ่งเป็น hot spring ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา (110 เมตร และลึก 37 เมตร) และใหญ่เป็นอันดับสามของโลก จะเห็นเป็นหลายสีและมีลวดลายบนพื้นที่ต่างๆ กัน ที่เกิดจากแบคทีเรียที่เติบโตในน้ำที่มีอุณหภูมิสูงและมีความเป็นกรดที่เหมาะสม
วิวทางเดินจากที่จอดรถ
Excelsior Geysor
Grand Prismatic Spring วิวมองจากทางเดิน broadwalk ด้านล่าง
Bacterial mat
**** ถ้าอยากดู Grand Prismatic Spring จากมุมบน ซึ่งจะสวยกว่ามาก ต้องปีนขึ้นเขาไปหน่อย ซึ่งไม่ได้เป็น trail ที่เขาทำไว้ให้ (คือว่าต้องเดินออกนอก trail) **** ต้องระวังให้มากด้วยครับและรับผิดชอบตัวเองเพราะเมื่อเดือนก่อนที่ผมจะไป มีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันเดินตามทางนี้แล้วต้นไม้หักมาโดนศีรษะเสียชีวิตไป เพิ่งมาเจอข่าวตอนกลับมาแล้ว น่ากลัว
ทางที่ว่านี้ ให้ขับรถเลย Midway Geyser มาหน่อยจะเจอที่จอดรถของ Fairy Falls trail แล้วเดินตามทางเข้าไป จะเจอคนเดินออกนอก trail และปีนขึ้นเขาไป ก็เดินตามไปครับ ขึ้นแล้วมุ่งไปทางขวาไม่นานก็ถึง
Update 2017 : ตอนนี้เขาสร้างทางให้ปีนขึ้นไปดูวิวจากมุมสูงได้โดยไม่ต้องปีนออกนอก trail ให้อันตรายแล้วครับ เพราะนอกจากอันตรายแล้วยังเป็นการทำลายธรรมชาติบางส่วนที่เราเดินผ่านกันด้วยครับ ทางที่ว่าชื่อ “Grand Prismatic Overlook Trail” ให้จอดรถที่ลานจอดรถใกล้ Fairy Fall Trail แล้วเดินไปตามป้ายครับ แล้วเดินขึ้นตามทางซึ่งสูงขึ้นไปประมาณ 105 ฟุต เป็นระยะทางรวมประมาณ 0.6 ไมล์ ครับ
Grand Prismatic Spring มองจากวิวด้านบนภูเขา
รูปด้านล่างถ่ายจากจุดชมวิวใหม่ที่ update ข้อมูลไว้ด้านบนครับ สวยเหมือนกันและที่สำคัญปลอดภัยและไม่ทำลายธรรมชาติครับ
Opal Pool
Turquoise Pool
Upper Geyser Basin (จุด 7)
จุดนี้มี Geyser จำนวนมาก และมี trail ที่ยาวมากเช่นกัน เดินกันจนเหนื่อย (มากก) หลายๆ ที่ยังมีการปะทุอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ที่สามารถทำนายเวลาได้แน่นอนและมีชื่อเสียงมากคือ Old Faithful Geyser โดยจะปะทุทุก 90 นาที บางครั้งสูงถึง 200 ฟุตเลยทีเดียว
นั่งรอดูการปุ๊ดของ Old Faithful Geyser (ไม่อยากเรียกปะทุ เพราะตอนผมไปดูนี่พุ่งขึ้นมาเตี้ยมาก)
ยังโชคดีครับ ตอนเดิน trail อันแสนยาวไกลกลับมา ในที่สุดได้เจอกับการปะทุของ Old Faithful Geyser สมคำร่ำลือซะที
จากนั้นเดินตาม trail ไปดูความหลากหลายของบ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อน มากมาย (และเหนื่อยยยมาก)
ที่ยอมเดินเพราะยังมีที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่อยู่ตรงปลายสุดของ trail เลยเหมือนเป็นข้อบังคับให้ “ต้อง” เดินไป คือ Morning Glory Hot Spring เขาว่าที่นี่เมื่อก่อนสีน้ำเงินเหมือนดอก morning glory แต่เนื่องจากนักท่องเที่ยวโยนเหรียญและของอื่นๆ ลงไปอุดรูน้ำเข้า ทำให้อุณหภูมิเปลี่ยน ปัจจุบันสีเลยเปลี่ยนไป แต่ก็ยังสวยมากอยู่ดี
Morning Glory Hot Spring (pool) สีสันที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาด้วยน้ำมือของมนุษย์…..
Castle Geyser เหมือนปราสาท (แต่ดูเหมือนภูเขาไฟระเบิดมากกว่า)
ขาเดินกลับ เจอการปะทุของ Beehive Geyser พอดี ดูเหมือนจะสูงกว่าของ Old Faithful Geyser ที่ดูเมื่อกี้อีก
West Thumb Geyser Basin (จุดที่ 8)
อยู่ติดกับชายฝั่งของ Yellowstone Lake ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดใน Yellowstone วิวของ Geyser นี้จะสวยไม่เหมือนกับที่อื่นตรงที่มองเห็นวิวของทะเลสาบเป็น background ด้วย แต่ตอนไปนี่ไม่ได้เดินลงไปตาม trail ข้างทะเลสาบเพราะเหนื่อยมากกกแล้ว
ถัดมาจาก West thumb วิวข้างทางจะสวยมาก ด้านหนึ่งเป็นทุ่งหญ้าเขียวมีดอกไม้เล็กๆ ขึ้นสลับกับป่าสน อีกด้านจะเป็นวิวทะเลสาบ Yellowstone ขับไปเรื่อยๆ จะถึง Lake village (จุด 9) ซึ่งจะมีโรงแรมเก่าแก่อยู่ หลายคนมักจะแวะไปชมวิวที่ทะเลสาบและถ่ายรูปโรงแรม แต่ตอนนั้นเย็นมากแล้วเลยผ่านไป ไม่ได้แวะ
เกือบหมดวัน รวมพลังเฮือกสุดท้ายมาที่
Mud Volcano และ Sulfur cauldron (ก่อนถึงจุดที่ 10)
จุดนี้เป็นที่รวมของ mud pots และ fumaroles มีกลิ่นกำมะถันค่อนข้างแรงทีเดียว ติดเสื้อ และอบอวลอยู่ในรถซักพักทีเดียว
Mud Volcano
Dragon’s mouth
เหมือนมังกรพ่นไฟ
Hayden Valley (จุด 10)
จาก Mud volcano ขับมาถึงจุดสุดท้ายของวัน วิวสองข้างทางสวยมากๆ ครับ
ที่นี่สามารถเห็นฝูงสัตว์ต่างๆ ที่เห็นเยอะมากๆ ก็ Bison, เป็ด เห็นบอกว่ามี elks, grizzly bear บ้างประปราย แต่ไกลมาก อาจเห็นเป็นจุดๆ ถ้าใช้กล้องส่องทางไกลด้วยจะดี
เสร็จจากจุดสุดท้ายนี่ก็ทุ่มกว่าแล้วครับ แต่ฤดูนี้มืดช้าครับ เลยเที่ยวได้ครบ จริงๆ loop ล่างนี้ จุดแวะเยอะครับ ถ้าเดินทุกที่จะเหนื่อยมากและไม่ทันมืดแน่ๆ ของผมข้ามไปหลาย trail เหมือนกัน ขนาดข้ามตอนจุดที่ 9 และ 10 นี่แทบจะไม่มีแรงแวะกันแล้ว แต่วิวที่เห็นมันก็ทำให้หายเหนื่อยได้เหมือนกันครับ
ปิดท้ายกระทู้
เสน่ห์อย่างหนึ่งของ Yellowstone คือ จะสามารถพบเห็นสัตว์ป่าที่อยู่ตามธรรมชาติได้หลากหลายชนิด ให้ความรู้สึกดีกว่าไปเห็นตามสวนสัตว์มาก ในแต่ละโซนของอุทยานจะพบเห็นแต่ละชนิดแตกต่างกันได้บ้าง เขามีแผนที่สรุปให้ดูด้วย
ตัวที่เจอมากสุดก็ American bisons เห็นได้ทั่วไปตามทุ่งหญ้า บางทีก็ขึ้นมาวิ่งบนถนนกับรถด้วยก็มี, Elks (สัตว์ตระกูลกวางแต่ตัวใหญ่กว่า) พวกนี้มักออกมาให้เห็นช่วงเย็นๆ, Black bear เห็นตัวเดียวอยู่ที่ทุ่งข้างถนน ปกติมักอยู่ไกลๆ แต่วันที่เห็นเข้ามาใกล้มาก แต่ถ่ายรูปไม่ทัน ฯลฯ
พระเอกของที่นี่ (Bison)
แม้แต่ ศพ Bison ก็ยังมี
Elks
จบทริป Yellowstone ด้วยความประทับใจในความมหัศจรรย์ของความสวยงามตามธรรมชาติและสัตว์ป่าทั้งหลายที่ไม่เคยเห็นตามธรรมชาติมาก่อน มาที่นี่ที่เดียว ได้เที่ยวภูมิประเทศทุกแบบ คุ้มค่าจริงๆ ครับ