อิตาลีอีกครั้ง (ตอน 1) : เมืองเก่า เมืองมรดกโลก

กลับมาอิตาลีอีกครั้ง คิดอยู่หลายตลบว่านอกจากเมืองเดิมๆ แล้วจะขึ้นเหนือหรือลงใต้ดี สรุปได้ความว่ารอบนี้จะลงใต้ก่อน เพราะมีเมืองมรดกโลกหลายเมือง และมีแนวชายฝั่งที่มีเมืองริมภูเขาที่สวยงามแปลกตา

Cover 1

“อิตาลีอีกครั้ง”

ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมครับ เดินทางหลักๆ โดยการขับรถไม่ได้ขึ้นรถไฟเหมือนครั้งก่อน ก่อให้เกิดความเครียดพอสมควร เพราะพวงมาลัยซ้ายไม่เหมือนบ้านเรา และได้ยินกิตติศัพท์ของถนนแถวนี้ว่าแคบคดเคี้ยว ที่จอดรถหายากแล้วก็แคบด้วย แต่ก็เป็นการลองอะไรที่ท้าทายดี (แต่ต้องซื้อประกันแบบ full protection 555) รวมระยะทางการเดินทางครั้งนี้ประมาณ 500 กิโลเมตรในเวลา 4 วันกว่าๆ

ปกติเส้นทางเที่ยวทางตอนใต้ของอิตาลี เขาจะเลือกกันฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เช่น Bari-Alberobello-Matera (ทางตะวันออก) หรือไม่ก็ Amalfi coast-Pompei-Naple (ทางตะวันตก) แต่รอบนี้ผมอยากรวบเป็นทริปเดียวเลยเพราะคงไม่ได้มาบ่อยๆ

การเดินทาง

  • รถยนต์ >> สะดวกที่สุด อยากแวะ อยากนอนที่ไหนจัดการได้เอง แต่ก็เหนื่อยขับหน่อย ถนนแถว Amalfi ค่อนข้างแคบในบางช่วง โค้งเยอะจนเวียนหัว ไหนจะต้องปวดหัวกับเรื่องที่จอดรถอีก
  • รถไฟหรือรถบัสสาธารณะ >> ก็สะดวกครับ แต่ระหว่างบางเมือง รถมีไม่บ่อยทำให้อาจต้องเพิ่มเวลาเที่ยวอีกหลายวัน
  • นั่งเรือ >> เพื่อแวะเที่ยวเมืองในแถบ Amalfi coast ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจครับ เพราะจะได้เห็นวิวเมืองจากนอกฝั่งด้วย สวยไปอีกแบบครับ บางคนเลือกเดินทางมาด้วยรถบัส (SITA bus) แล้วกลับทางเรือก็ได้วิวจากถนนกับวิวนอกชายฝั่งครบเลย

แผนการเดินทาง

ตามรูปด้านล่างครับ ซึ่งแผนนี้เอาไว้ดูเป็นแนวทางพอ อาจทำตามไม่ค่อยดีนัก เพราะจริงๆ ถ้าจะมาเที่ยวเฉพาะแถบนี้ นั่งเครื่องมาลง Rome แล้วเที่ยวย้อนทางของแผนของผมจะดีกว่า — แต่พอดีผมมาทำธุระที่ Milan ก่อนและจะนั่งเครื่องไปกลับไทยจาก Milan ผมเลยต้องนั่งรถไฟจาก Milan มารับรถที่ Bari และส่งคืนที่ Naple แล้วนั่งรถไฟกลับ Milan อีกทีครับ ข้อเสีย คือ ราคาเช่ารถจะแพงกว่าเพราะคืนคนละสนามบิน

road-trip-map

schedule-southern-italy

เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ

ขับรถใครว่ายาก (แต่ก็ไม่ง่ายนะ)

  • จองล่วงหน้า >> ควรจองรถล่วงหน้า (นานๆ) ครับ ผมจองผ่าน izzirent.com ถูกกว่าเว็บอื่นเล็กน้อย
  • เลือกเกียร์ออโต้ >> ถ้าขับเกียร์กระปุกไม่เป็น ตอนกดจองอย่าลืมดูด้วยครับว่ารถที่เลือกเป็นเกียร์ออโต้หรือเปล่า เพราะที่เห็นราคาถูกกว่ามักจะเป็นเกียร์กระปุก ถ้าเผลอกดจองไปแล้วอัพเกรดตอนรับรถราคาจะแพงขึ้นเยอะ
  • Full protection >> ซื้อประกันแบบ full protection เลยครับ (ซื้อหน้าเคาน์เตอร์ได้) ถ้าเกิดรถเป็นรอยนิดหน่อย เผลอๆ โดนเป็นหมื่นครับ ถนนที่อิตาลีแคบ ที่จอดก็แคบ (รอดยาก) เดี๋ยวจะเข้าข่าย “เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย”
  • GPS >> มีแล้วจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้น หรือถ้าจะใช้ google map อย่างเดียวก็สามารถทำได้ครับ แต่สัญญาณบางช่วงไม่ค่อยดีต้องเตรียมโหลดแผนที่ไว้ล่วงหน้าตอนที่ยังต่ออินเตอร์เนตได้
  • พวงมาลัยซ้าย >> อันนี้ที่น่าหนักใจที่สุดสำหรับผมครับ เลนของฝั่งเราจะอยู่ด้านขวา ตั้งสติให้ดีเวลาเลี้ยว นึกในใจว่า “อยู่เลนขวาๆๆๆ” ไว้ เดี๋ยวจะไปจูบกับรถที่สวนมาโดยไม่ตั้งใจ และเวลาขับพวงมาลัยซ้าย รถมักจะเบี่ยงไปทางขวา ระวังด้วยครับ
  • ช้าอยู่เลนขวา >> รถเร็วจะวิ่งเลนซ้ายตรงข้ามกับบ้านเรา ระวังเรื่อง speed limit ด้วย
  • ซ้ายไปก่อน >> ขับรถเข้าวงเวียนต้องให้รถทางซ้ายไปก่อนเสมอ
  • หยุดให้คนข้าม >> ทางม้าลายต้องหยุดให้คนข้ามเสมอ
  • กฎจราจรอื่นคล้ายๆ กับอเมริกาครับ (อ่านเพิ่มเติม ที่นี่)

จบทริปกลับมารอใบสั่งอย่างใจจดใจจ่อ (555…ในเลข 5 มีน้ำตาซ่อนอยู่…)

ที่จอดรถอยู่ไหน (หาแทบตายบางทีก็ไม่เจอ)

  • จอดได้ที่ไหนบ้าง >> ที่จอดรถฟรีหายากยิ่งกว่าแฟน และมักต้องเสียเงินครับ จุดที่สามารถจอดได้เขามักจะตีเส้นไว้ เช่น
    • เส้นสีขาวหรือไม่มีเส้น = จอดฟรี (ถ้าไม่มีเส้น หาป้ายห้ามจอดดีๆ นะครับ)
    • เส้นสีฟ้า = เสียค่าจอด ต้องหาตู้จ่ายเงินซึ่งจะอยู่ใกล้ๆ นั้นและจ่ายเงินด้วยนะครับ
    • เส้นสีเหลือง มักมีข้อกำหนดเฉพาะ เรามักจอดไม่ได้ครับ เช่น เป็นที่จอดรถคนพิการ หรือขนของ
  • ที่จอดรถของเอกชน >> มักจะมีบริการอยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยว หาป้ายสีน้ำเงินที่มีอักษรตัว “P” ข้อดีคือ เรา “อาจจะ” วางใจเรื่องความปลอดภัยจากการโดนทุบกระจกรถขโมยของได้บ้าง ค่าจอดรถแล้วแต่สถานที่ท่องเที่ยวครับ ที่ผมเจอก็อยู่ในช่วง 5-7 ยูโร (ช่วงกว้างไหมครับ 555)

sign.jpg

  • ไม่ควรทิ้งอะไรไว้ในรถ >> ถึงจะเป็นถุงเปล่าๆ ก็ไม่ควรครับ เพราะขโมยมันไม่รู้หรอกว่ามีอะไรในถุงหรือเปล่า มันทุบไว้ก่อน บางที่เช่น ปอมเปอี หรือเนเปิล อาจต้องเอาสัมภาระไปฝากตามสถานีรถไฟระหว่างจอดทิ้งไว้ซะด้วยซ้ำ (ผมจอดในที่จอดเอกชน ไม่ได้ฝากของ ไม่โดนขโมยอะไรครับ)
  • เลือกโรงแรมที่มี private parking >> ซึ่งอาจฟรีหรือเสียเงินแล้วแต่โรงแรม แต่ถ้าพักในตัวเมือง ที่จอดอาจจะไม่ได้อยู่ที่โรงแรมนะครับ เพราะโรงแรมอาจจะอยู่ตามซอกซอยเล็กๆ รถเข้าไม่ได้ จะต้องไปจอดที่จอดของเอกชนใกล้ๆ กัน ดังนั้น ใกล้วันเดินทางให้อีเมลไปถามโรงแรมก่อนว่า ที่จอดอยู่ไหน จะต้องใส่ destination ใน google map ยังไง จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นครับ

จองโรงแรมหรือที่พัก (อย่าวางใจ ต้องถามทุกอย่างที่อยากรู้)

  • ถ้าขับรถ อย่าลืมดูโรงแรมที่มีที่จอดรถตามที่บอกไว้ด้านบนครับ
  • เลือกพักในเมือง จะประหยัดเวลาการเดินเที่ยว แต่อาจต้องสู้ราคาที่แพงขึ้นหน่อย ยิ่งถ้ามีที่จอดรถจะดีครับ เพราะเราสามารถจอดรถทิ้งไว้แล้วเดินเที่ยวได้ โดยไม่ต้องขับไปวนหาที่จอดอีก
  • โรงแรมหลายที่ “ไม่มีลิฟท์” ครับ ดูให้ดีๆ เพราะถ้าต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่ๆ ขึ้นลงบันไดอาจไม่สนุกนัก (ผมไม่ได้ดูรายละเอียดไปก่อน เจอโรงแรมที่ Amalfi จอดปุ๊บก็แบกกระเป๋าใบใหญ่กันลงมา เห็นบันไดแล้วแทบเป็นลม เกือบร้อยขั้น…)

DSC0001.jpg

มาเริ่มทริปกันเลยดีกว่า…หลังจากรับรถที่สนามบิน Bari แล้วก็เริ่มออกเดินทางกันได้เลยครับ

Alberobello – เมืองบ้านดินสอ

“อัลเบอโรเบลโล” เป็นเมืองเก่าแก่ของอิตาลี ซึ่งมีลักษณะเฉพาะจากรูปทรงของบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้าง ซึ่งสร้างจากการก่อหินปูนก้อนใหญ่ๆ เป็นผนังบ้านและหลังคารูปทรงกรวยโดยไม่ต้องฉาบด้วยซีเมนต์ (แต่ปัจจุบันมีการบูรณะคงมีการฉาบเพื่อความแข็งแรง) มีสัญลักษณ์ต่างๆ กันบนยอดบ้างก็ว่าเพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางสิ่งลี้ลับหรือไม่ก็แสดงฐานะของผู้อยู่อาศัย

DSCF5375.jpg
หลังคาทำด้วยแผ่นหินปูนวางเรียงซ้อนกัน

บ้านรูปทรงเหล่านี้เรียกว่า “Trullo หรือ Trulli” ปัจจุบันมีหลายพันหลังทั้งหลังเก่าซึ่งได้รับการบูรณะไปพอสมควรทำให้ดูใหม่และมีการสร้างใหม่ขึ้นอีกหลายหลังเช่นกัน

DSCF5389.jpg

Tips:

  • เมืองนี้สามารถเดินเล่นได้ครบใน 3-4 ชั่วโมง นักท่องเที่ยวจะเริ่มเยอะช่วง 10 โมงเป็นต้นไปเพราะทัวร์จะมาลงพอดี
  • ถ้าอยากดูวิวบนดาดฟ้าของ Trullo ลองดูว่าหลังไหนมีคนขึ้นไป ให้เข้าไปร้านนั้นแล้วลองถามเจ้าของร้านดูครับ บางร้านเขาเชื้อเชิญขึ้นไปเองเลย

แผนที่เดินเที่ยวคร่าวๆ

  • เมืองเก่า (Rione Monti) (วงกลมสีแดงในแผนที่ด้านล่าง) มี Trullo เป็นพันๆ หลัง ส่วนใหญ่ถูกดัดแปลงมาเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านขายไวน์ และโรงแรมเล็กๆ เลือกพักโรงแรมในแถบนี้ก็ได้บรรยากาศดีครับ โซนที่จอดรถได้จะอยู่แถบสวนสาธารณะที่มุมล่างซ้ายของแผนที่ครับ
  • เมืองใหม่และพิพิธภัณฑ์ อยู่อีกฝั่งนึงของเมืองถัดจาก main street (Largo Martellotta) ออกไป

Aberobello map.jpg

DSCF5065
Reception ของโรงแรมที่พัก

DSCF5093

DSCF5132.jpg
ส่วนใหญ่ถูกดัดแปลงทำเป็นร้านขายของที่ระลึก

DSCF5183DSCF5152DSCF5391.jpgDSCF5104.jpgDSCF5233DSCF5106.jpg

หลังคามียอดเป็นรูปต่างๆ ซึ่งมีความหมายไม่เหมือนกันครับ

DSCF5240.jpgDSCF5231.jpg

เจ้าของร้านมักเชิญชวนเข้าไปดูของในร้าน ตอนแรกก็กล้าๆ กลัวๆ โดนยัดเยียดสินค้า แต่ไปๆ มาๆ เขาเต็มใจให้เข้าไปดูครับ พร้อมบรรยายอย่างภาคภูมิใจถึงความเก่าและดั้งเดิมของห้อง, บันได, ผนังบ้าน และยังให้ขึ้นดาดฟ้าไปดูวิวจากมุมสูงอย่างเต็มใจ (แต่เขาไม่ได้นิสัยดีทุกร้านนะครับ บางร้านก็ดูเหยียดเราเหมือนกันครับ พอเดินๆ ดู แล้วไม่ซื้อ ก็พูด Ciao! Ciao! Ciao! ประมาณว่าไม่ซื้อก็ไปได้แล้ว อย่ามายืนบังร้าน…เซ็ง)

DSCF5188.jpg
คุณยายเจ้าของร้านยิ้มแย้มแจ่มใส อัธยาศัยดีมาก

DSCF5205.jpg

Chiesa di Sant’Antonio

DSCF5138
Chiesa di Sant’Antonio

DSCF5165DSCF5169

เดินผ่าน Main street (Largo Martellotta) ไปอีกฝั่งของเมืองจะเป็นโซนที่อยู่อาศัยและมีสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่มาปะปน มีจุดชมวิว (จุดสีน้ำเงินในแผนที่ด้านบน) มองกลับมาเห็นฝั่งเมืองเก่าที่มี Trullo จำนวนมากเรียงรายกันเหมือนกับหมู่บ้านของฮอบบิท (แต่ผมนึกถึงหมู่บ้านสเมิร์ฟมากกว่า)

DSCF5381.jpg
บันไดในรูปเป็นทางขึ้นไปยังจุดชมวิว
DSCF5281
วิวฝั่งเมืองเก่า (Rione Monti)

DSCF5294

ช่วงที่ผมไปเป็นเช้าวันพฤหัส เขาปิดถนนเป็นตลาดนัดขายของเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่น่าสนใจนัก เพราะเป็นของทั่วๆ ไป ไม่ใช่ของท้องถิ่น

DSCF5079.jpg
ตอนเช้าคนยังน้อย แต่พอตอนบ่ายนี่เต็มทุกร้าน

DSCF5080.jpg

ฝั่งนี้มีโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมๆ อยู่หลายที่ แต่ไม่ได้เข้า เดินดูแต่รอบนอก

DSCF5369.jpg
อนุสาวรีย์กลางจตุรัสฝั่งเมืองใหม่

DSCF5374.jpg

Basilica dei Santi

DSCF5308

DSCF5321
Basilica dei Santi

DSCF5324

Trullo Sovrano เป็น trullo แห่งเดียวใน Alberobello ที่มี 2 ชั้นครับ (ไม่รวมดาดฟ้า) สร้างโดยครอบครัวนักบวชผู้ร่ำรวยในสมัยนั้น ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม

DSCF5344.jpg

DSCF5377.jpg
Trulli ของน้องหมา

Matera – เมืองหินริมหน้าผา

“มาเทรา” เป็นเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลกคาดว่าเกิดขึ้นตั้งแต่ 7,000 ปีก่อน ลักษณะของบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างจะเป็นการเจาะเข้าไปในเขาหินปูน ทำให้มีลักษณะคล้ายถ้ำ เรียกว่า “Sassi” อยู่เรียงรายกันริมหน้าผาที่มีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลผ่านด้านล่าง

DSCF5635.jpg

เมื่อประมาณซัก 40 ปีก่อนที่นี่จัดว่าเป็นแถบที่ยากจนเพราะ “บ้าน” เหล่านี้ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ตามความเห็นของคนในสมัยนั้น แต่ปัจจุบันได้ประกาศเป็นเมืองมรดกโลกโดย UNESCO ตั้งแต่ปี 1993 ทำให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่หนึ่งของอิตาลีตอนใต้ และมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ

DSCF5679

Tips:

  • เมืองนี้น่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันครับ เพื่อเดินดูให้ครบตามแผนที่ด้านล่าง แต่ถ้าจะดูแต่เมืองเก่าบางจุดและโบสถ์ อาจใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงก็พอ
  • เลือกพักแถบเมืองเก่าได้บรรยากาศดีครับ ถ้าขับรถอย่าลืมถามที่จอดจากโรงแรมด้วย เพราะส่วนใหญ่รถเข้าไปยากหรือเข้าไม่ได้ และมักจะไม่มีที่จอดริมทางใกล้โรงแรม
  • อย่าลืมแวะดูวิวเมืองจากภูเขาฝั่งตรงข้ามด้วยครับ

แผนที่เดินเที่ยวคร่าวๆ เมืองนี้ผมแบ่งเป็น 2 โซนตามแผนที่ด้านล่างครับ สามารถเดินถึงกันได้หมด

  • วงสีแดง เป็นโซนที่เป็นเมืองเก่า เดินขึ้นๆ ลงๆ บันได เหนื่อยอยู่นะครับ ถ้ากลัวหลงก็สามารถเดินเลาะไปตามริมเขาได้ ถ้าเดินด้านในนี่ยังกะเขาวงกตเลยทีเดียว ผมหลงแล้วหลงอีก
  • วงสีน้ำเงิน เป็นโซนที่มีสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ มาปะปน มีจตุรัสกลางเมือง มีร้านช้อปปิ้ง ร้านอาหารเยอะครับ แถวนี้มี จุดชมวิว เมืองเก่าจากมุมสูงอยู่ใกล้ๆ กับ Piazza Pascoli ตรงด้านล่างของแผนที่ครับ
  • วิวเมืองจากภูเขาฝั่งตรงข้าม ใส่ใน google map ว่า “Viewpoint of Matera and the Sassi” ครับ (ขับรถหรือนั่งแท็กซี่ไป)

Matera map

มาเดินเที่ยวโซนเมืองเก่ากันก่อน เดินขึ้นลงบันไดกันจนเหนื่อยเอาการเลย แต่ก็ชดเชยความเหนื่อยด้วยวิวที่สวยแปลกตา

DSCF5500.jpgDSCF5503.jpg

DSCF5413.jpgDSCF5435.jpgDSCF5627.jpgDSCF5486DSCF5479DSCF5441.jpg

โบสถ์เก่า Santa Maria de Idris (Madonna de Idris) เป็นโบสถ์ในภูเขาหิน มีไม้กางเขนอยู่บนยอด ภายในมีการจัดแสดงภาพวาดเก่าแก่ที่วาดไว้ที่ผนัง ค่อนข้างสมบูรณ์ครับ ไม่รู้ว่าเขาวาดเพิ่มตอนบูรณะหรือเปล่า แต่บอกไว้ก่อนว่าอากาศข้างในค่อนข้างอับ ผนังมีเชื้อรา (เยอะมาก) ผมเข้าไปไอไม่หยุดเลย (เป็นภูมิแพ้อยู่เดิม) ที่นี่เสียค่าเข้าชมครับ และมีโบสถ์ให้ชมภายในแบบนี้ได้ 3 แห่ง สามารถซื้อเป็นตั๋วเหมาได้

DSCF5632.jpg
Santa Maria de Idris
DSCF5637.jpg
ภายในเปิดให้เข้าชมภาพเก่าบนผนังหิน

ภายในโบสถ์ทั้งสามห้ามถ่ายรูปครับ รูปด้านล่างเอามาจาก internet

ด้านหลังของโบสถ์ Santa Maria de Idris มี Casa Grotta เป็นที่จัดแสดงห้องและการจัดแต่งแบบดั้งเดิมให้เข้าชมครับ แต่ผมไม่ได้เข้า เพราะมาตอนเย็นกับเช้า เขายังไม่เปิด เลยเอารูปจากอินเตอร์เน็ตมาให้ดูกัน

DSCF5655.jpg
Casa Grotta
casa-grotta copy.jpg
ภายใน Casa Grotta

เดินเล่นไปเรื่อยๆ เจอโบสถ์ San Pietro Caveoso อยู่ริมหน้าผา เป็นโบสถ์ในโซนเมืองเก่าแห่งเดียวที่ไม่ได้ขุดเข้าไปในภูเขา เข้าไปดูด้านในได้ครับ แต่ตอนผมไปเขาปิดแล้ว เลยดูแต่ด้านนอก

DSCF5498.jpg
San Pietro Caveoso

เดินเลียบหน้าผาไปเรื่อย

DSCF5713DSCF5727DSCF5752DSCF5717DSCF5712DSCF5777

จุดชมวิวใกล้ๆ Piazza Pascoli

DSCF5550
หลังพระอาทิตย์ตก

DSCF5609

DSCF5612
Santa Maria de Idris

DSCF5624

หลุดออกจากโซนเมืองเก่า ขึ้นมาเดินเล่นด้านบนกันบ้างครับ มีร้านค้า ร้านอาหารมากมายให้เดินดูเพลินๆ ปนกับอาคารเก่าๆ ซึ่งเดินเจอเรื่อยๆ ครับ

DSCF5567
Palombaro Lungo

DSCF5565DSCF5575DSCF5590

DSCF5604
San Francesco d’Assisi

San Domenico

DSCF5702.jpg
San Domenico

DSCF5709.jpg

Church of Purgatory (Chiesa del Purgatorio) ตกแต่งด้วยรูปเทวดาและหัวกระโหลก

DSCF5681
Church of Purgatory

DSCF5683

Matera Cathedral (Duomo)

DSCF5757.jpg
Matera Cathedral

ก่อนจะอำลาจาก Matera อย่าลืมแวะไปจุดชมวิวฝั่งตรงข้ามด้วยครับ คือ Viewpoint of Matera and the Sassi ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองเห็น Matera ในมุมกว้างได้ทั้งเมือง เห็นเป็นชั้นลดหลั่นกันบนหน้าผาและมีเมืองใหม่อยู่ด้านบนสวยมากครับ

DSCF5793
สีสันของเมืองใหม่ (ด้านบน) กับความเก่าแก่ของเมืองเก่า (ด้านล่าง)

 

DSC5784 pano
วิวมุมกว้าง

DSC5788 pano

DSCF5810

DSCF5787
โบสถ์ San Pietro Caveoso ริมหน้าผา (อยู่มุมขวาล่างของรูป)

DSCF5802

ออกจาก Matera เราจะขับยาวกันไปที่ Amalfi Coast ครับ ติดตามตอนต่อไปคร้าบ

 

เมืองเก่าแก่ที่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวยังมีให้เห็นกระจายกันอยู่ทั่วโลกครับ เที่ยวยังไงก็ไม่ครบ ที่อิตาลีก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่หลายเมือง ถึงแม้จะได้รับการบูรณะไปบ้างแต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญและความสามารถของคนในยุคหลายพันปีก่อนเป็นอย่างดี

 

 

 

 

About Breathe My World 68 Articles
A man who love travelling the world.