มาลุยอิตาลีต่อกันที่ Florence เมืองที่อุดมไปด้วยผลงานศิลปะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตัวอาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมทั้งยังเป็นสถานที่เก็บผลงานศิลปะอันล้ำค่าไว้อย่างมากมายด้วยครับ
แต่ละเมืองที่ไปในทริปนี้ คลิ๊กที่ลิงค์ด้านล่างรูปเลยครับ
วันที่ 1 และ 2 : อารัมภบทและ Lake Como
วันที่ 2 และ 3 : Venice ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก
วันที่ 3 และ 4 : Florence เมืองแห่งศิลปะ
วันที่ 4 ถึง 6 : Rome และ Vatican ประวัติศาสตร์อันยาวนาน
วันที่ 6 และ 7 : Milan เมืองแฟชั่น
Florence (Firenze)
เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งของแม่น้ำ Arno ซึ่งเมื่อก่อนเป็นศูนย์กลางทางการค้าและเป็นจุดกำเนิดของศิลปะ สถาปัตยกรรมแขนงต่างๆ ปัจจุบันเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1982
เรามีเวลากันน้อยมากที่นี่ ซึ่งเป็นเมืองที่น่าอยู่นานกว่านี้ ได้เที่ยวแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศ
สารบัญ
การเดินทาง
– สถานีรถไฟหลัก คือ Firenze Santa Maria Novella (SMN)
– เดินทางภายในเมืองตามแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ สามารถเดินถึงกันได้ แต่ถ้าจะไป Piazza Michelangelo (จุดชมวิว ที่ไม่น่าพลาด) ควรจะต้องนั่งรถเมล์ไป โดยตั๋วรถเมล์ต้องซื้อที่ร้านขายหนังสือพิมพ์ทั่วๆ ไป หรือตรงหน้าสถานีรถไฟ จะมีรถบัสเล็กๆ สีขาวๆ จอดนิ่งสนิทอยู่เพื่อไว้เป็นที่ขายตั๋วด้วยครับ ราคา 1.2 euro ต่อเที่ยว (ใช้ได้ 90 นาที) ซึ้อแล้วก็ค่อยไป validate กับเครื่องบนรถเวลาขึ้นรถไปแล้ว (อย่าโกงนะครับ ตรวจจริง ปรับจริง เคยโดน เอ้ย เคยเห็นมากับตา)
ที่พัก
มีให้เลือกมากมายหลายราคาทั้งโรงแรม, airbnb, bed and breakfast ผมพักที่ Hotel Berna โรงแรมนี้ตกแต่งน่ารักดีครับ สะอาดและไม่เล็กมาก
วันแรกกว่าจะมาถึง Florence ก็หกโมงเย็นแล้ว แต่ยังโชคดีช่วงนี้พระอาทิตย์ตกสองทุ่ม เลยมีเวลาเอ้อระเหยนิดหน่อยก่อนหารถเมล์จากป้ายแถวๆ สถานีรถไฟไปยังจุดชมวิว…เส้นทางอ้อมเหลือเกิน
Piazza Michelangelo
เป็นจุดชมวิวที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง จุดนี้จะมองย้อนไปเห็นวิวมุมกว้างของเมือง Florence ได้เกือบทั้งเมือง เห็นหลังคาเป็นสีส้มโทนเดียวกันทั้งเมือง และมีโดมของ Duomo โดดเด่นเป็นสง่า ตอนกลางคืนพอเปิดไฟยิ่งเด่นเข้าไปใหญ่
ภาพมุมกว้างของจตุรัส ลืมถ่ายมาเลยหาจาก internet มาให้ดูกันครับ
แต่การเดินทางย่อมมีอุปสรรคเสมอ อากู๋กูเกิ้ลบอกเราว่านั่งรถเมล์ครึ่ง ชม.จะถึงจุดหมาย แต่วันนั้นรถติดมาก สงสัยฝนตกและเป็นวันทำงานด้วยเลยใช้เวลาหนึ่ง ชม.เต็ม ถึงที่หมายก็สามทุ่มกว่าแล้ว มืดสนิท (ตอนแรกหวังเก็บแสงทไวไลท์) ลมแรง+หนาว+กลัวรอรถนานอีกเพราะดึก เลยรีบกดๆๆๆ ชัตเตอร์ถ่ายรูป เสร็จภายใน 10 นาที ได้ภาพที่ใช้ได้อยู่แค่ 2-3 ภาพ
ต่อไปเป็นรูปที่ไปถ่ายซ่อมตอนเย็นอีกวันนึง (แต่ก็ยังไม่ได้แสงทไวไลท์อยู่ดี เพราะเหนื่อย 555 รีบกลับไปพักดีกว่าเพราะวันรุ่งขึ้นต้องเริ่มประชุมแล้ว)
ทางด้านซ้ายจะเห็นสะพานที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ก็ว่าได้คือ สะพาน Vecchio
Piazza della Signoria โดดเด่นแต่ไกล
มีร้านอาหารให้นั่งกินชมวิวด้วยครับ แต่ไม่ได้โฉบไปดูราคา น่าจะแพงแน่นอน
ตรงกลางจตุรัสมี รูปปั้นเดวิดจำลอง ที่นี่ที่ไปดูมีรูปปั้นเดวิดทั้งหมด 3 รูป ตัวจริงอยู่ที่ Galleria dell’ Academia นอกนั้นเป็นตัวจำลอง คือที่นี่ และที่ Piazza Signoria ลองดูเปรียบเทียบกันนะครับว่าต่างกันยังไง
วันต่อมากะว่าจะออกกันแต่เช้าและเดินไปตามแผนที่ข้างล่าง โดยมุ่งหน้าไป Duomo ก่อนเพราะกลัวคนเยอะต้องต่อคิวขึ้นหอระฆังยาว
Santa Maria Novella
เป็นโบสถ์ที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ ชื่อของสถานีรถไฟเลยชื่อเดียวกับโบสถ์นี้ ผนังด้านหน้าของโบสถ์ทำด้วยหินอ่อนสีขาวสลับเป็นลายกับสีเขียว
Piazza della Signoria
อยู่ติดกับ Palazzo Vecchio มีรูปสลักสวยๆ ดังๆ อยู่รอบๆ มากมาย ภายในก็มีพิพิธภัณฑ์ด้วยครับ แต่ผมไม่ได้เข้าชม
Fountain of Neptune
รูปเดวิดจำลอง ตัวที่ 2
Perseus with the Head of Medusa
The Rape of The Sabine Woman
(ของจริงตั้งอยู่ที่นี่, แบบปูนจำลองจะอยู่ที่ Galleria dell’ Accademia)
Hercules and Cacus
เดินต่อกันมาเรื่อยๆ ถึงสะพานที่สำคัญของเมืองนี้ ก็คือ สะพาน Vecchio คนเยอะมากๆๆ (ตอนที่ถ่ายนี้ประมาณ 11 โมง)
Ponte Vecchio
เป็นสะพานเก่าแก่ของที่นี่ สร้างขึ้นเพื่อใช้ข้ามแม่น้ำ Arno ซึ่งมีความพิเศษต่างจากสะพานทั่วไปคือ มีร้านค้าอยู่สองข้างทาง สมัยก่อนเป็นที่ตั้งของร้านขายเนื้อสัตว์ แต่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งร้านค้าพวกงานศิลปะและอัญมณี
เดินเลยสะพานมาที่อีกสะพานหนึ่ง มองกลับไปจะได้วิวสะพาน Vecchio ชัดเจน
แล้วก็เดินเรื่อยๆ มาถึงจตุรัสสำคัญของ Florence กันครับ
Piazza del Duomo
ถือเป็นจตุรัสที่มีสถานที่ที่มีสถาปัตยกรรมที่เป็นสัญลักษณ์ของศิลปะ Renaissance
สถานที่แต่ละที่ใหญ่มาก กว่าจะหามุมถ่ายให้ติดหมดในรูปนี่เดินวนอยู่สามรอบใหญ่ ที่เห็นในรูปจากซ้ายไปขวา คือ Baptistery, Cathedral (โบสถ์), Dome (โดมสีส้มๆ) และ Campanile (bell tower)
มาที่นี่ตอนเช้าๆ คนจะน้อย แต่รถขนของเยอะ ไม่รู้ขนทำไรกันวิ่งวนกันขวักไขว่ ถนนใน Florence และโดยรอบจตุรัสนี่มองไม่ค่อยออกว่าเป็นทางรถหรือทางคน รถวิ่งได้ คนเดินก็ได้ เวลาเดินก็ระวังๆ หน่อยครับ มันแยกไม่ค่อยออก ไม่มีเส้นแบ่งเลน ไม่มีทางเท้าชัดเจน อีกอย่างตอนเช้าเวลาถ่ายมุมสำคัญๆ มักย้อนแสงด้วยครับ ลองเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะมาดู
Baptistery
Santa Maria del Fiore Cathedral
เป็นมหาวิหารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของยุโรป ภายนอกสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ชมพูและเขียว ทำเป็นลวดลายของโบสถ์ ประกอบกับความใหญ่ของตัวโบสถ์ ทำให้ดูอลังการไม่ใช่น้อย โบสถ์นี้มีสองชั้น ชั้นล่างเดินดูฟรี ส่วนชั้นบนจะเป็นพิพิธภัณฑ์เสียค่าเข้าชมครับ ที่นี่สามารถขึ้นไปชมวิวที่ยอดโดมได้โดยการเดินขึ้นบันไดประมาณ 460 กว่าขั้น (ราคา 8 ยูโร) แต่ไม่ได้เข้าครับเพราะไปถึงค่อนข้างสาย (เกือบสิบเอ็ดโมง) คนต่อแถวเกือบกิโลได้ เลยเลือกขึ้นหอระฆังดีกว่า เนื่องจากคนน้อยกว่า และสามารถเห็นวิวของโดมได้ชัดเจน
ทางด้านขวาของโบสถ์ในรูปคือ Giotto’s bell tower
สวยจนไม่รู้จะบรรยายว่ายังไง
ประตูก็วิจิตรงดงามมาก
ภายในก็สวยไม่แพ้กัน
Giotto’s bell tower
เป็นหอระฆังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Gothic สูง 85 เมตร สามารถขึ้นชมวิวด้านบนได้โดยขึ้นบันไดไป 414 ขั้น ตอนแรกหาข้อมูลบอกว่าเสียค่าบัตรขึ้นหอ 8 ยูโร แต่วันจริงเห็นขายแต่ตั๋วเหมาเข้าได้ทุกที่ราคา 15 ยูโร เสียดายมากเพราะได้เข้าแค่ที่เดียวเนื่องจากเวลาจำกัด
บันไดแคบหน่อย เดินสวนกันได้แบบเบียดๆ
คนที่ขึ้นไปชมวิวจากยอดโดม
ขึ้นไปจนถึงด้านบน มีช่องเหล็กให้มองทะลุลงมาถึงชั้นล่าง…เสียว
วิวเมืองจากยอดหอระฆัง เห็นสถานที่สำคัญๆ หลายที่
ที่ใกล้ๆ กับ Duomo ก็มีตลาดเล็กๆ ขายของที่ระลึก เครื่องหนังต่างๆ เป็นแบบรถเข็นมาตั้งขาย ส่วนใหญ่เป็นพวกชาวอินเดียมาขาย เดินดูเพลินๆ
เสร็จจากที่นี่แล้วก็นั่งรถไฟไปโรมกันต่อครับ เสียดายเหมือนกันเพราะปรับแผนมาอยู่ Florence ด้วยเวลาที่สั้นมาก ทำให้เที่ยวได้ค่อนข้างน้อย เข้าชมที่ต่างๆ ได้ไม่ครบ (จริงๆ น่าจะอยู่ซัก 2-3 วันเป็นอย่างน้อย) แต่ผมยังโชคดีเพราะเสร็จจากทริปทั้งหมดที่มิลานและส่งภรรยากลับไทยโดยสวัสดิภาพแล้ว ผมก็ย้อนมาประชุมที่นี่อีกที ทำให้ได้เข้า Galleria dell’ Accademia เพิ่มอีกที่นึงก่อนวันประชุม
Galleria dell’ Accademia
แวะมาดูรูปปั้นเดวิดอันโด่งดัง ซึ่งเป็นผลงานของไมเคิลแองเจโล โดยรูปสลักของจริงตั้งอยู่ที่นี่ โดยจองตั๋วออนไลน์มาก่อนจาก ลิงค์นี้ ครับ ค่าเข้า 18 ยูโร
รูปนี้ถ่ายตอนคิวน้อย ตอนดูเสร็จเดินออกมา คิวยาวเลยมุมถนนไปอีก บางคนบอกรอเป็นชั่วโมงกว่าจะได้ซื้อตั๋ว
รูปสลัก David ผลงานชิ้นโบว์แดงที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Michelangelo ซึ่งมีความสวยงามตามลักษณะของโครงสร้างร่างกายมากทั้งลักษณะของเส้นเลือดที่มือ กล้ามเนื้อท้องและขา และถูกแกะจากหินอ่อนชิ้นใหญ่ทั้งชิ้น
เดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์เรื่อยๆ สักพัก หันมาเห็นตั้งเด่นเป็นสง่ามากครับ (สวยกว่าของจำลองที่ Piazza Signoria และ Piazza Michelangelo มากๆ) เดิมรูปสลักของจริงนี้ตั้งอยู๋ที่ Piazza Signoria ถึง 350 ปี และได้ถูกย้ายมาที่นี่ตั้งแต่ปี 1873 เพราะป้องกันการเสื่อมและเสียหาย
นอกจากเดวิดแล้วยังมีรูปสลักอีกหลายชิ้นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Four Prisoners (or slaves) ซึ่งเป็นรูปสลักที่ตั้งใจสลักให้ไม่เสร็จ เหมือนนักโทษที่พยายามดิ้นรนให้ได้อิสรภาพ
The Rape of The Sabine Woman (โดย Giambologna) เป็นแบบปูนของรูปสลักจริงซึ่งตั้งอยู่ที่ Piazza Signoria
ห้องที่รวมรูปสลักและรูปปั้นต่างๆ
ภาพวาดที่มีชื่อต่างๆ ก็แสดงอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่ถ้าชอบงานศิลปะภาพวาด จะมีรวบรวมอยู่เยอะมากที่ Uffizi Gallery หรือ Museum ซึ่งผมไม่ได้เข้า ถ้าจะเข้าควรจองตั๋วออนไลน์มาเหมือนกันครับ เพราะจะได้ไม่ต้องต่อคิวเช่นกัน
Tree of Life (โดย Pacino di Buonaguida)
Coronation of The Virgin (โดย Jacopo di Cione)
จบโหมดรักศิลปะละครับ 555
อีกที่ที่คนไทยและคนเอเชียอื่นๆ ชอบมาเวลามา Florence คือ The Mall Outlet ซึ่งมีรถบัสวิ่งไปกลับโดยตรง สามารถขึ้นรถได้ที่ Busitalia station อยู่ใกล้ๆ กับ Firenze SMN station (search ใน google map ว่า Busitalia – Sita Nord S.R.L) มีรถออกทุกครึ่งชั่วโมง รอบแรกประมาณ 9 โมง ราคาตั๋ว one-way 7 euro หรือถ้าไปกลับก็ราคา 13 euro ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที
ที่นี่เห็นว่ามีแต่แบรนด์ดังๆ แต่เขาว่าถูกจริง (แต่ถูกยังไงก็ยังแพงสำหรับผมอยู่ดี)
ที่นี่สามารถทำ tax refund ได้เงินคืนเลยนะครับ ไม่ต้องไปต่อแถวรอนานๆ ที่สนามบิน — หลังจากซื้อของและได้แบบฟอร์ม refund มาแล้ว ให้ไปตรงที่จอดรถบัส จะมี office เล็กๆ อยู่ที่เขียนว่า refund office แต่พอได้เงินแล้วต้องเอาแบบฟอร์ม refund กลับมาไปประทับตราที่ custom ที่สนามบินด้วยนะครับ (แต่ประหยัดเวลาได้มาก เพราะไม่ต้องต่อคิวรับเงิน) ถ้าลืมเขาจะตัดเงินคืนจากบัตรเครดิตเรา
ปล.ถ้าซื้อเยอะเกิน จะทำ refund ที่นี่ไม่ได้ จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไร คุ้นๆ ว่า 999 euro (ไม่แน่ใจนะครับ)
นอกจากที่ The Mall Outlet ยังมี Space outlet ซึ่งเป็นของ Prada โดยเฉพาะ เห็นบอกว่าใหญ่และของเยอะกว่าที่ The Mall Outlet แต่ไม่เคยไปครับ รู้สึกจะไปยากกว่าเพราะต้องไปโดยรถไฟและนั่งแท็กซี่ต่อไปอีก
ปกติคนที่มา Florence และมีเวลาหลายวันหน่อย ที่หนึ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องแวะไปปิซ่า เพราะเดินทางง่ายและไม่นาน คือนั่งรถไฟหรือรถบัสไปแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น สามารถเดินทางแบบ one-day trip ได้สบายๆ
ขนาดของที่ระลึกยังวางคู่กัน 🙂
ความเห็นส่วนตัวผมว่าควรอยู่ที่ Florence อย่างน้อย 3 วันครับ เพราะมีหลายอย่างให้ดูและเก็บรายละเอียดเยอะเลย ยิ่งถ้าเป็นคนชื่นชอบผลงานศิลปะนี่ไม่ควรพลาดเลยครับ
อ่านรีวิวที่ไปเที่ยวอิตาลีแล้วเป็นประโยชน์มาก ๆ เลยค่ะ แพลนจะไปเหมือนกันค่ะไม่ทราบว่าถ้าไปนำเสนอผลงานที่งานประชุมแล้วเที่ยวต่อที่อิตาลีแบบนี้ต้องขอวีซ่าประเภทท่องเที่ยวหรือธุรกิจคะ
ขอบคุณครับ ^^ ใช้วีซ่าท่องเที่ยวครับ