สารบัญ
There’s no place like home but…
…..you should travel the world before going home.
ตามมาต่อกันที่อุทยานอีกแห่งหนึ่งใน Canadian Rockies ที่เป็นที่รู้จักและนิยมของนักท่องเที่ยวไม่แพ้กับ Banff National park เลยครับ
ติดตามภาคแรก Episode 1 : Banff National Park
รู้จัก Jasper
เป็นเมืองที่มีขนาดเล็กกว่า Banff อยู่ทางตะวันตกของ Alberta ของแคนาดา บ้านหลายหลังในเมืองนี้ก็ทำเป็น bed and breakfast เช่นเดียวกับใน Banff ส่วนโรงแรมก็มีครับ แต่ราคาจะแพงกว่าโดยเฉพาะช่วง high season ของปี คือ ช่วงเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม ช่วงนั้นก็มีกิจกรรมให้ทำมากมายครับ ไม่ว่าจะเดิน trail, ปีนเขา, พายเรือ หรือขับรถเล่นเย็นๆ ใจ ส่วนในฤดูหนาวก็มีสกีรีสอร์ทที่เป็นที่นิยมเหมือนกันครับ
ที่เที่ยวใน Jasper
- Medicine Lake
- Maligne Lake
- Pyramid Lake และ Patricia Lake (ไม่ได้ไป)
- Jasper SkyTram (ไม่ได้ไป)
- Mount Edith Cavell
- Athabasca Falls
- Sunwapta Falls
เมือง Jasper
Bed and breakfast ที่ผมพัก (Hayward House)
Maligne Canyon
เริ่มเช้าวันใหม่ พากันขับรถออกจากตัวเมือง Jasper มาเล็กน้อยเพื่อเข้าถนนเส้น Maligne Road ซึ่งเขาว่าจะเจอสัตว์เยอะ แต่เราไม่เจอเลย… ขับมาเรื่อยๆ จนถึงที่แรก คือ Maligne Canyon คำว่า Maligne แปลว่า “evil” หรือ “wicked” เพราะการขี่ม้าข้ามแม่น้ำที่ไหลผ่าน Canyon นี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก
หินแถบเทือกเขา Rockies จะเป็นพวก limestone และการเกิดของ Canyon มักเกิดจากการกัดเซาะของน้ำและน้ำแข็ง ทำให้มีลวดลายเป็นริ้วๆ สวยมากครับ (กลไกการเกิดจะคล้าย Antelope Canyons แต่ที่ Antelope Canyon จะเป็นหินแดง สวยไปคนละแบบ)
Maligne Canyon เป็นหนึ่งใน canyon ที่มีความลึกที่สุดของเทือกเขา Rockies ทางเดินใน canyon สะดวก และไม่ไกลมาก (ตาม route สั้นๆ ไม่ได้ไปที่ไกลสุด)
Medicine Lake
ไปต่อกันที่ Medicine Lake เห็นเขาว่ามีรูทางไหลของน้ำออกไปทางอื่นๆ ทำให้บางช่วงของฤดูร้อน น้ำจะน้อย (แบบที่เห็น) ส่วนฤดูหนาวนำ้จะเกือบแห้งขอด
อยู่ที่นี่กันไม่นาน เพราะไม่สวยเท่าไร 555
Maligne Lake
ขับต่อไปจนถึง Maligne Lake ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน Canadian Rockies และเป็นทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง (glacier) ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก การที่น้ำของทะเลสาบเกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งทำให้น้ำมีสีฟ้าเขียวสวยมาก โดยเฉพาะวันที่อากาศดีๆ
ที่นี่เป็นอีกที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยอะ มีกิจกรรมทางน้ำให้ทำคล้ายๆ ทะเลสาบอื่นๆ เช่น พายเรือแคนูหรือคายัค อีกอย่างที่ได้รับความนิยม (แต่แพงมากกก) คือ นั่งเรือไปชม Spirit island ที่แพงคงเป็นเพราะเรือนี่เป็นของบริษัทเอกชน ซึ่งทำกิจการนี้มาตั้งแต่ก่อนรัฐเข้ามาดำเนินการที่ทะเลสาบ เลยได้ผูกขาดดำเนินการต่อ ค่าเรือไป-กลับ 64 USD (2,000 กว่าบาท !!! ) เพื่อไปดูเกาะ (เล็กๆ มีต้นไม้ขึ้นหรอมแหรม) ที่เรามักเห็นตามโปสการ์ด (จริงๆ ถามว่าคุ้มกับความสวยไหม…ผมว่าไม่คุ้มนะ แต่เดินทางมาไกล ไม่รู้จะได้มาอีกป่าว ก็ต้องไปล่ะนะ) ระหว่างทางจะมีไกด์คอยบอกประวัติความเป็นมา เรื่องราว และสถานที่ต่างๆ เป็นระยะ ใช้เวลาเดินทางไปเกาะประมาณ 20 นาที และให้เวลาลงเดินชมธรรมชาติ 10 นาที! (2,000 บาท…บ่นไม่เลิก 555)
วิวมหาชน กระท่อมเล็กๆ เป็นที่เช่าเรือทำกิจกรรมทางน้ำ วันฟ้าใส แสงสวยๆ จะเห็นนำ้ในทะเลสาบเป็นสีเขียวฟ้าสวยมากครับ
เรือ (ราคา) มหาโหด
แสงเริ่มมา น้ำสีสวยมาก
ถึงแล้วครับ Spirit island มีเรื่องเล่าว่า ที่เกาะนี้มีชื่อแบบนี้ก็เพราะมีคู่รักมาแอบนัดพบกันที่นี่ แต่พอพ่อฝ่ายหญิงรู้ ก็กีดกันไม่ให้ไปที่เกาะนี้อีก แต่ฝ่ายชายก็หมั่นมาที่เกาะเพียงเพื่อหวังจะพบคนรักอีกครั้ง จนในที่สุดเขาก็เสียชีวิตลงที่เกาะแห่งนี้
นี่ล่ะครับ เกาะหรอมแหรม กับมุมมหาชน (จริงๆ ก็มีไม่กี่มุมที่ให้ถ่ายได้ 555)
Pyramid Lake
เป็นทะเลสาบรูปไตที่อยู่ตรงเทือกเขา Pyramid น้ำจากทะเลสาบนี้จะไหลไปลงแม่น้ำ Athabasca มีทางเดินและกิจกรรมในฤดูร้อนให้ทำมากมายครับ และอยู่ใกล้ๆ กับ Patricia Lake
ที่นี่ไม่ได้แวะครับเพราะเวลาไม่พอ เลยเอารูปจากอินเตอร์เนตมาให้ดูแทน
Jasper Skytram
ภาพจาก internet
เป็น tramway ที่สร้างตั้งแต่ปี 1964 ถือว่าเป็น tramway ที่ยาวและสูงที่สุดในแคนาดาครับ (สูง 2,277 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) ที่นี่ผมก็ไม่ได้แวะครับ เพราะสภาพอากาศไม่ดี มีแต่หมอก คิดว่าขึ้นไปก็ไม่เห็นอะไร ขึ้นไปดูวิวเมือง Jasper จากด้านบน สนนราคาก็ 39.95 ดอลลาร์ต่อคนครับ (ลิงค์)
Mount Edith Cavell
เสร็จจาก Maligne Lake แล้ว เรามีจุดหมายไป Banff กันต่อครับ ทางผ่านก่อนจะถึง Banff ในเขตอุทยาน Jasper ยังมีที่ให้แวะเที่ยวอีกมากมายครับ รวมถึง Pyramid Lake และ Jasper Skytram ที่บอกไปด้านบน ขับรถลงมาอีกนิดนึงจะมีทางเลี้ยวเข้า Mount Edith Cavell ขับไปตามป้ายบอกทางเรื่อยๆ (แต่ก็ยังหลง) พอถึงก็เดินไต่เขาไกลพอสมควรแต่ไม่ชันมาก (น่าจะประมาณ 800 เมตร) เพื่อไปดู Angel Glacier
Angel Glacier มีรูปร่างคล้ายๆ นางฟ้ามีปีก (angel) อย่างที่เห็นในรูป และธารน้ำแข็งนี้ละลายลงมาเป็นแอ่งน้ำสีฟ้า turqouise ข้างล่าง วันแสงดีๆ จะสวยมากครับ (แต่มุมในรูปไม่ค่อยชัด ต้องเดินไปด้านหน้าหน่อย) ที่นี่ยังมีทางให้เดินหลายเส้นทางครับ ลองศึกษาดูครับ
Athabasca Falls
เสร็จจาก Mount Edith Cavell ประมาณสี่โมงเย็น ยังสว่างอยู่และช่วงนี้ (เดือนกันยายน) กว่าพระอาทิตย์จะตกก็สองทุ่มครึ่ง เลยหาที่ไปต่อ…เลยตัดสินใจแวะ Athabasca Falls เป็นที่ปิดท้ายของวันแทน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Mt Edith Cavell….นำ้ของนำ้ตกเห็นเขาว่าสีจะแตกต่างกันไปตามฤดู ช่วงนี้สี่จะเป็นสีขาวขุ่นๆ สวยไปอีกแบบ เพราะหลายๆ ที่ที่เราไปเที่ยวกัน สีน้ำจะเป็นสีฟ้าซึ่งแตกต่างจากที่นี่
มี trail ให้เดินสั้นๆ ทางเดินส่วนนี้เมื่อก่อนมีน้ำไหลผ่าน ทำให้มีลักษณะผนังเป็นริ้วๆ สวยงาม
สุดสายของน้ำตกไหลลงสู่แม่น้ำ Athabasca
Sunwapta Falls
เราจบทริปวันแรกใน Jasper กันที่ Athabasca Falls ครับ และขับรถย้อนไปพักกันที่ตัวเมือง Jasper วันรุ่งขึ้นก็เก็บสัมภาระออกเดินทางประมาณแปดโมงครึ่งเพื่อมุ่งหน้าสู่ Banff National Park โดยขับรถวิ่งลงมาทาง Highway 93 เข้าสู่ Icefields parkway
Icefields parkway เป็นถนนที่อยู่ระหว่าง Jasper และ Lake Louise ระยะทางประมาณ 230 กิโลเมตร ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในถนนที่สวยที่สุดในโลก เส้นทางนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วง 1800s และสร้างเป็นถนนเมื่อ 1940s สองข้างทางเต็มไปด้วยเทือกเขา glacier, ทะเลสาบมากมาย และอาจพบสัตว์ป่าหลายชนิด (แต่ตอนผมไปเจอแค่ big horn sheep ตัวเดียวเอง)
จุดหมายแรกที่แวะและเป็นที่เที่ยวสุดท้ายใน Jasper National Park ของเรา คือ Sunwapta Falls ใช้เวลาที่นี่แป๊บเดียวเพราะดูแต่ตัวน้ำตก ซึ่งเดินเข้าไปนิดเดียว แต่เขาก็มี trail ให้เดินกันต่อนะครับ แต่ไม่รู้มีอะไรบ้างเพราะผมไม่ได้เดินต่อ
เสร็จจากที่นี่เราก็ขับออกจาก Jasper อย่างเป็นทางการและเข้าสู่จุดหมายถัดไปครับ คือ Banff National Park ซึ่งได้รีวิวไปแล้วใน Episode 1 ครับ