ลองมองมุมเล็กๆ ในยุโรป ที่ไม่น่าพลาด
โปแลนด์ (Poland) ถือเป็นอีกประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แม้จะเป็นประเทศที่ไม่โด่งดังด้านการท่องเที่ยวมากนัก เพราะหลายคนที่มาเที่ยวประเทศแถวๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็นสาธารณรัฐเชค เยอรมัน ออสเตรีย ก็มักจะไม่มีโปแลนด์อยู่ใน list เลย แต่จริงๆ ที่นี่ก็มีหลายอย่างน่าสนใจครับ
จุดมุ่งหมายหลักของทริปนี้คือค่ายกักกันของชาวนาซี “Auschwitz” ครับ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเมืองคราครูฟ (Krakow) เมืองหลวงเก่าของโปแลนด์ และตั้งใจว่าไหนๆ มาแล้ว ก็จะเที่ยวเมืองรอบๆ ด้วย แต่ผมไม่มีเวลามากนัก จึงต้องตัดเมืองหลวงใหม่อย่างกรุงวอร์ซอว์ (Warsaw) ออกไป และเลือกเที่ยวเมืองเก่าบางเมืองที่คิดว่ามีทัศนียภาพที่งดงามน่าชมกว่าตึกแนวสมัยใหม่ เลยเลือกเที่ยวอีกสองเมืองเพิ่มเติมคือ พอซนาน (Poznan) และวรอตซวาฟ (Wroclaw)
สารบัญ
โปรแกรมคร่าวๆ
วันที่ 1-3 : Krakow – Wieliczka Salt Mine – Auschwitz (Oswiecim) – Krakow
วันที่ 3-4 : Poznan
วันที่ 4-5 : Wroclaw
ตามแผนที่ด้านล่างครับ
การทำวีซ่า
วีซ่าเชงเก้นโปแลนด์ ทำที่สถานทูตโปแลนด์ครับ เพิ่งย้ายที่ใหม่ตอนสิงหาคม 2559
พิกัด: Athenee Tower ชั้น 6 unit 605-607 ถนนวิทยุนะครับ ไม่ใช่อาคารว่องวานิช เขาเพิ่งย้ายที่ตอนเดือนสิงหาคม 2559 นี่เอง ผมซวยหน่อย ไปตามที่อยู่เก่าที่เขาแจ้งมาในอีเมลตอบกลับตอนจองออนไลน์ พอย้ายที่แล้วดันไม่แจ้ง ผมเลยไปผิดที่ (เซ็ง) ต้องรีบบึ่งมอเตอร์ไซด์ข้ามมาเพลินจิตเพราะกลัวเลยเวลานัด (แต่จริงๆ ถ้าเลยเวลาก็น่าจะทำได้ครับ คิวน้อย)
ลิงค์สถานฑูตโปแลนด์เพื่อทำวีซ่า คลิ๊กเลยครับ
การเตรียมเอกสารก็เหมือนๆ กับการยื่นขอเชงเก้นของประเทศอื่นครับ พอดีเพิ่งผ่านการยื่นวีซ่าเชงเก้นอิตาลีอันแสนยุ่งยากมาแล้ว งานนี้เลยเตรียมแบบคุ้นเคยสบายๆ เอกสารยื่นวีซ่า ไม่ต่างจากการทำวีซ่าเชงเก้นอื่นๆ เท่าไรครับ ของผมโดนแก้เอกสารนิดหน่อย เพราะจดหมายรับรองการทำงานต้องระบุช่วงเวลาที่เดินทางไปต่างประเทศด้วย ใช้เวลาพิจารณาประมาณ 10-14 วันทำการ (ผมยื่นวีซ่าวันที่ 31 สิงหาคม นัดรับเล่มวันที่ 14 กันยายน แต่แอบฟังของคนอื่น ถ้าใกล้วันเดินทางมากเห็นนัดมา 7 วันก็มีครับ)ไม่มีส่งไปรษณีย์แต่ให้คนมารับแทนได้ ค่าทำวีซ่าสำหรับ single entry 2,400 บาท (ปี 2016)
ตอนแรกที่จะนัดทำวีซ่า ผมเกือบใจเย็นไปจองใกล้ๆ ซักเดือนนึงก่อนเดินทาง เพราะคิดว่าคิวไม่ยาว แต่เอะใจเข้าไปเช็ควันจองในเวบพบว่า จองคิววันนี้ คิวแรกที่สามารถลงวันได้คืออีกเกือบเดือนข้างหน้า (สรุปคือ ต้องจองคิวล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน)…เกือบไปละ สรุปได้คิวก่อนเดินทางประมาณแค่ 20 วัน หลังจากยื่นจะใช้เวลาเดินเรื่องประมาณสองสัปดาห์ซึ่งที่สถานทูตโปแลนด์เปิดให้ยื่นสมัครวีซ่าเฉพาะ วันจันทร์ พุธและศุกร์ ช่วงเช้าเท่านั้นครับ
ข้อมูลทั่วไป
สกุลเงิน : ใช้เงิน สว้อตตี้ (zloty; PLN) 1 PLN ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็คูณ 9-10 บาท การแลกเงินหาแลกที่ประเทศไทยไม่ได้ เลยแลกเป็นยูโรไว้ก่อน แล้วไปแลกที่สนามบินจำนวนหนึ่ง (ให้พอค่าใช้จ่ายเบื้องต้น ย้ำว่าแลกจำนวนหนึ่งเท่านั้นครับ เพราะ rate ที่สนามบินและสถานีรถไฟ “แย่” มาก แต่บางร้านที่สถานีรถไฟหลักของเมืองก็ rate ดีครับ) แล้วพอเข้าเมืองก็ไปแลกตามร้านแลกเงินอีกที rate จะดีกว่ามาก อย่างตอนผมไปแลกที่สนามบิน 1 euro ได้ 3 PLN ถ้าแลกข้างนอกได้ 4.2 PLN
ปัจจัยที่ 5 อินเตอร์เนตและโทรศัพท์
ใช้วิธีเหมือนเที่ยวยุโรปทั่วไปครับ มาซื้อซิมเอาที่นี่ มีหลายเครือข่ายครับ แต่ผมใช้ Orange เพราะหาง่ายและซิมแบบดาต้าอย่างเดียวมีขายที่ร้านอิเลคโทรนิคที่สถานีรถไฟ Krakow (ร้าน Saturn) เลยและมีบู้ทเจ้าหน้าที่คอย activate SIM card ให้เลย ผมใช้โปรดาต้า 2 GB ราคาประมาณ 7 PLN ถูกดี) ถ้าจะโทรผมใช้ Line call เอาเพราะบางทีต้องโทรคอนเฟิร์มเรื่อง check-in กับโรงแรมที่จองไว้ อัตราโทรในโปแลนด์ของ Line call ก็ประมาณ 3.5 บาทต่อนาที)
ไม่พูดพร่ำทำเพลง มาเริ่มที่เมืองแรกกันเลยครับ
Krakow
เมืองคราโคว (Krakow) หรือคนโปแลนด์จะออกเสียงว่า “คราครูฟ” เมืองหลวงเก่าของโปแลนด์ (ปี 1038-1569) ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1978
การเดินทางและที่เที่ยวที่สำคัญใน Krakow
- สถานีรถไฟหลักของเมือง คือ Krakow Glowny
- โซนที่พักที่สะดวกกับการเดินเที่ยวคือใกล้ๆ สถานีรถไฟ หรือบริเวณใจกลางเมืองที่มีถนนล้อมรอบเป็นรูปรีๆ
- ที่เที่ยวส่วนใหญ่ สามารถเดินถึงกันได้สบายมากครับ
St. Florian’s Gate มีความสูงประมาณ 34.5 เมตร อยู่ใกล้ๆ กับ Krakow Barbican
Krakow Barbican
เป็นป้อมปราการด่านแรกป้องกันข้าศึกบุกเข้าโจมตี สร้างเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15
จากตรงนี้เดินตรงไปก็จะเป็น จตุรัสกลางเมือง (Rynek Glowny หรือ Main Square) ที่มีความสำคัญมากด้านการท่องเที่ยวและกิจกรรมของเมือง และเป็นจตุรัสที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของยุโรป เป็นที่รวมของสถานที่สำคัญๆ เช่น Cloth Hall, St. Mary Basilica และร้านค้า ร้านอาหารมากมาย
ช่วงที่ไปมี local market มาเปิดขายของและร้านอาหาร ร้านเบียร์เป็นซุ้มๆ เดินเพลินดีครับ
Cloth Hall
เดิมเป็นสถานที่ค้าขายผ้าและโลหะตั้งแต่ปี 1551 ปัจจุบันชั้นล่างเป็นร้านขายของที่ระลึกและชั้นบนจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ
St. Mary’s Basilica
เป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโปแลนด์ สามารถเข้าชมได้ แต่ผมไม่ได้เข้าครับ เพราะอยู่ในเมืองก็ช่วงเย็นมากและจะต้องออกเดินทางช่วงเช้า เลยไม่ทันกับเวลาโบสถ์เปิด เสียดาย ซึ่งเขาบอกว่าภายในสวยมาก
โบสถ์มีหอคอยอยู่ 2 หอซึ่งมีความสูงไม่เท่ากัน หอที่สูง 69 เมตรใช้เป็นหอระฆัง และอีกหอสูง 81 เมตร ใช้เป็นหอสังเกตุการณ์ จะมีเสียงเป่าแตรทุกชั่วโมง แต่เสียงแตรนั้นเป่าแบบไม่จบเพลงซะงั้น ซึ่งมีที่มาคือ เมื่อก่อนจะมีการเป่าแตรเพื่อเตือนภัย จนมีครั้งหนึ่งที่มีข้าศึกโจมตีและยามที่กำลังเป่าแตรถูกธนูเสียชีวิตก่อนเป่าจบ การที่ปัจจุบันเสียงแตรไม่จบเพลงก็เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจเหตุการณ์ดังกล่าวนั่นเองครับ
Wawel Castle
Wawel Castle เดิมเป็นที่พำนักของกษัตริย์ ภายในตัวปราสาทจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ หลายส่วน เช่น State rooms, Royal Private Apartments, Crown Treasury and Armoury, the Lost Wawel และ Oriental Art ซึ่งเสียค่าเข้าชม สามารถเช็คราคาได้ตาม เวบไซด์เลยครับ
นอกจากนี้ยังมีที่ให้เที่ยวชมอีกหลายที่ที่เปิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน ได้แก่ Dragon’s Den (เหมือนเป็นถ้ำใต้ดิน เปรียบเสมือนที่อยู่ของมังกร สัญลักษณ์ของเมือง), Sandomierska Tower และ Wawel Architecture and Gardens
เนื่องจากผิดแผนจากเครื่องบินดีเลย์ในวันแรก ทำให้ไม่ได้เข้าไปในส่วนของพิพิธภัณฑ์และถ้ำ Dragon’s Den เลยใช้เวลาครึ่งเช้าก่อนเดินทางไป Poznan เดินดูแค่ภายนอกเท่านั้น (ฟรี) แต่อากาศไม่ดีเลย มีแต่หมอก
วิวของปราสาทรอบนอก สามารถเดินได้รอบ ถ้าเดินมาจาก Main Square มาถึงตรงนี้เดินรอบตัวปราสาทไปทางขวา เพือชมวิวแม่น้ำ Vistula กับเมืองฝั่งตรงข้ามแล้ววกเข้าส่วนของปราสาททางประตู Bernardynska Gate
วิวแม่น้ำ Vistula
ด้านนอกจะมี รูปปั้นของมังกร (Smok Wawelski) พ่นไฟได้ ซึ่งมังกรก็ถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของ Krakow เช่นกันจากนิยายปรัมปราที่เล่าต่อกันมา
Bernardynska Gate
ลานกว้างตรงกลาง Wawel Hill ด้านหน้าของ Wawel Cathedral
Wawel Cathedral
ชุมชนเก่าชาวยิว ~ Kazimierz
เดิมก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวยิวหลายหมื่นคน จนเกิดการกวาดต้อนชาวยิมจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทำให้ที่นี่เปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันก็ยังมีสัญลักษณ์ต่างๆ หลงเหลืออยู่ ถ้าสนใจเดินได้ตาม route ในแผนที่ด้านล่างครับ ตอนแรกผมว่าจะมาเดินตอนวันแรกที่มาถึง แต่เครื่องบินดีเลย์ทำให้ไม่มีเวลามาเลย
เหมืองเกลือ : Wieliczka Salt Mine
เหมืองเกลือ Wieliczka Salt Mine (เวียลิกซ์กา) เป็นเหมืองเกลือที่เก่าแก่ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 ในสมัยโบราณเกลือเป็นแร่ธาตุที่มีค่ามาก เป็นสินค้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของโปแลนด์ในสมัยนั้น ตัวเหมืองอยู่ลึกลงไปประมาณ 300 เมตร แบ่งเป็นทั้งหมด 9 ชั้น ความยาวส่วนของทางเดินในอุโมงค์ (galleries) ยาวกว่า 300 กิโลเมตร และมีโถง (chambers) มากกว่า 3,000 ห้อง ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1978
ติดตามได้ในกระทู้นี้ครับ >>> Journey to the underworld : Wieliczka Salt Mine
Auschwitz ค่ายกักกันนรก
Auschwitz (1940-1945) หรือค่ายเอาชีวิต เอ้ย เอาชวิตซ์ อยู่ในเมือง Oswiecim (ออชเฟียชิม) ซึ่งห่างจากเมือง Krakow ไปทางตะวันตกประมาณ 40 กิโลเมตร ถูกสร้างโดยชาวนาซีหลังจากที่เยอรมันยึดโปแลนด์ได้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้เป็นค่ายกักกันนักโทษการเมืองในช่วงแรก (ปี 1940) แต่ต่อมาหลังจากปี 1942 ผู้ที่ถูกพามาที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวยิวจากหลายๆ ประเทศในยุโรป ที่นี่เป็นที่รู้จักดีของชาวโลกในฐานะที่เป็นสถานที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของผู้นำเยอรมัน “ฮิตเลอร์” (Adolf Hitler)
ต่อมาปลายปี 1940 มีการแตกสาขาออกไปอีกหลายที่เนื่องจากจำนวนของ “นักโทษ (ที่บริสุทธิ์)” มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จน Auschwitz I รองรับไม่ไหว ค่ายกักกันหลักๆ ที่นี่มี 3 แห่ง คือ Auschwitz I ซึ่งเป็นค่ายหลัก, Birkenau (Auschwitz II) ซึ่งจุดประสงค์หลักให้เป็นสถานที่สังหาร (Extermination Camp) และ Monowitz (Auschwitz III) ซึ่ง Auschwitz I และ Birkenau เป็นสองที่ที่คนมาเยือนมากที่สุด
ติดตามกระทู้เก่าเรื่อง Auschwitz ได้จากกระทู้นี้ครับ >>> Lessons from the past…Auschwitz
Poznan
Poznan เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ของโปแลนด์ เจริญรุ่งเรืองที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-17 เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของยุโรป ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโปแลนด์ และเป็นเมืองที่ใช้แข่งขันฟุตบอลยูโรในปี 2012 ด้วย
การเดินทางและที่เที่ยวที่สำคัญใน Poznan
- สถานีรถไฟหลักของเมือง คือ Poznan Glowny
- โซนที่พักที่สะดวกกับการเดินเที่ยวคือใกล้ๆ จตุรัส Old Town (วงกลมสีเขียวในแผนที่ข้างล่าง)
- การเที่ยวที่เมืองนี้สามารถเดินได้ถึงกันครับ แต่ถ้ารวบเดินในวันเดียวอาจเหนื่อยหน่อย เมืองนี้จะแบ่งโซนคร่าวๆ ของการเดินเที่ยวได้ 3 โซนตามความเก่าแก่ ตามรูปด้านล่าง
ถ้ามีเวลาไม่มาก แนะนำ Old town และ The Oldest Poznan ครับ
Old Town
เป็นบริเวณที่ห้ามพลาดถ้ามาที่ Poznan (เพราะถ้าพลาดก็ไม่รู้จะไปไหนแล้วครับ 555 ที่เที่ยวไม่มาก)
Old Town Square (Stary Rynek) เป็นจตุรัสกลางเมืองรายล้อมด้วยร้านค้า ร้านอาหารมากมาย รวมทั้งตึกสีสันต่างๆ ที่ดึงดูดสายตาไม่น้อย
Town Hall ตอนเที่ยงจะมีเสียงระฆังและมีห่านออกมาจากประตู
Merchant’s houses ตึกสีสัน ลวดลายสวยงามตั้งเรียงกันอยู่
น้ำพุ ที่อยู่ 4 มุมของจตุรัส
Fountain of Proserpina
Fountain of Apollo
Fountain of Neptune
Fountain of Mars
Pranger ผู้คุมนักโทษแขวนคอ
Bamber woman เป็นรูปผู้หญิงในชุดพื้นเมืองซึ่งสร้างตั้งแต่ปี 1915 ถูกย้ายตำแหน่งมาเรื่อยๆ ล่าสุดอยู่ทางด้านข้างของ Town Hall
ลัดเลาะรอบจตุรัส
Royal Castle ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1249 แต่ถูกทำลายอย่างมากหลังสงคราม หลังที่เห็นเป็นหลังที่บูรณะขึ้นมาใหม่ในปี 2010 ที่นี่เปิดให้เข้าได้ครับ และบนหอคอยเป็นจุดชมวิวด้วย แต่ไม่ได้ขึ้นเพราะตอนไปเงียบมาก ไม่มีคนเลย เลยไม่รู้ว่าเขาให้เปิดเข้าชมด้วย
The Oldest Poznan
จากบริเวณ Old town เดินมาเรื่อยๆ ทางตะวันออก ข้ามแม่น้ำ Warta โดยใช้สะพาน Bolesława Chrobrego จะพบกับโบสถ์เก่าแก่ของ Poznan ซึ่งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Ostrow Tumski หรือ Cathedral Island
St. Mary Gothic Church มีรูปสลัก Statue of Virgin Mary อยู่ด้านหน้า
ข้างๆ กันมีรูปปั้นของ Pope
Archcathedral Basilica of St. Peter and Paul เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของ Poznan ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 หลังจากถูกไฟไหม้ไป โบสถ์ก็ถูกบูรณะขึ้นใหม่ด้วยสถาปัตยกรรมผสมระหว่าง Romanesque, Gothic, Baroque และ Neo-Classical style
ด้านหลังของโบสถ์
เดินเลยมาอีกนิดจะถึงสะพานสีแดงที่ชื่อ Biskupa Jordana ที่หลายคนต้องมาถ่ายรูป
Nineteenth-Century
เดินจาก Old Town มาทางตะวันตก ก็จะเริ่มเห็นความเป็นเมืองใหม่มากขึ้น
Imperial Castle ตั้งแต่ปี 1910 ใช้เป็นพระราชวังของ Kaiser Wilhelm II ปัจจุบันทำส่วนหนึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ ผมเดินดูแต่ภายนอกครับ ไม่ได้เข้าไปข้างใน
Wroclaw
เมืองนี้ถูกตั้งชื่อไว้หลายชื่อ เช่น Flower of Europe, Pearl of the City, City of Bridges and Canals เป็นต้น ในช่วงศตวรรษเมืองนี้ถูกครอบครองโดยหลายประเทศ เช่น เชค, ออสเตรีย, ฮังการี และเยอรมัน ทำให้มีศิลปะและสถาปัตยกรรมของแต่ละที่หลงเหลืออยู่ และหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองนี้ก็เป็นของโปแลนด์นับแต่นั้นมาและเปลี่ยนชื่อเป็น “Wroclaw”
เมืองนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับ 4 ของโปแลนด์ มีขอบเขตใกล้กับชายแดนติดกับสาธารณรัฐเช็กและเยอรมัน เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีเอกลักษณ์ของตึกรามบ้านช่องที่มีสีสัน และตุ๊กตาคนแคระ (gnome หรือ dwarf) ตัวเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วเมือง
การเดินทางและที่เที่ยวที่สำคัญใน Wroclaw
- สถานีรถไฟหลักของเมือง คือ Wroclaw Glowny
- โซนที่พักที่สะดวกกับการเดินเที่ยวคือใกล้ๆ จตุรัส Old Town (วงกลมสีแดงในแผนที่ด้านล่าง)
- เมืองนี้มีที่เที่ยวหลักๆ อยู่ 2 ส่วน คือ ในส่วนตัวเมือง/Old town ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันในวงกลมสีแดงตามแผนที่ด้านล่างครับ และส่วนของ Ostrow Tumski หรือ Cathedral Island ซึ่งจาก Old Town สามารถเดินข้ามสะพาน Piaskowny และ Tumski ได้ตามรูป หรือจะนั่งรถก็ได้ครับ ถ้ามีเวลามากพอ อาจแวะไปดู Wroclaw Fountain ได้มีการแสดงแสงสีตอนกลางคืนด้วย ซึ่งน่าจะต้องนั่งรถเมล์ไป เพราะไกลอยู่เหมือนกัน (อยู่ทางด้านขวาตกแผนที่ด้านล่างไปครับ)
สถานีรถไฟด้านนอก สวยมากครับ
เดินจากสถานีรถไฟไปจตุรัสกลางเมือง ไกลพอควร แต่มีอะไรให้ดูเรื่อยๆ ครับ
Opera Wroclawska ถ้าเดินจากสถานีรถไฟมายัง Old Town จะผ่านโรงโอเปร่านี้ก่อนครับ
Wroclaw Market Square (Rynek Glowny) เป็นจัตุรัสกลางเมือง มีร้านอาหารและร้านค้า โรงแรมอยู่รายรอบ เดินเข้ามาเห็น Town Hall ตั้งตระหง่าน สวยสะดุดตามากครับ
Wroclaw Town Hall มีอายุกว่า 250 ปี เป็นสถาปัตยกรรมผสมของ Gothic
Solny Square เป็นแถวอาคารรอบๆ จตุรัส เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Baroque หลายรูปทรงเรียงกันหลากสีสัน เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สำคัญของที่นี่
Gingerbread houses “Hansel and Gretel” ลักษณะทำให้นึกถึงบ้าน Hansel and Gretel น่ารักดี
Church of St. Mary Magdalene เป็นโบสถ์สไตล์ Gothic สามารถเดินขึ้นชมบนหอคอยได้ ที่ Wroclaw มีจุดชมวิวบนโบสถ์อยู่ 2 ที่ คือ ที่นี่และที่ St. Elizabeth’s Church ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับจตุรัส
ปีนขึ้นจุดชมวิว ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างหอคอย 2 หอของโบสถ์ ซึ่งมีชื่อว่า “Witches’ Bridge” ตามตำนานที่เล่าต่อกันมาว่ามักจะมีคนเห็นเงาของหญิงสาวที่สะพานแห่งนี้
เดินออกจากจตุรัส ก็มีที่ให้เดินเล่นเรื่อยๆ ตามซอกตามซอย
Raclawice Panorama เป็นที่แสดงภาพวาดที่วาด 360 องศา มีความสูงของภาพกว่า 100 เมตร ซึ่งภาพแสดงเรื่องราวของสงคราม Raclawice ในช่วงปี 1794 ระหว่างโปแลนด์และรัสเซีย
Ostrow Tumski
จาก Old Town จะเดินไปยัง Ostrow Tumski จะข้ามสะพาน Piaskowny ที่บริเวณใกล้ๆ กันนั้นจะมีตลาดในร่มเล็กๆ (Hala Targowa) ขายพวกผลไม้ อาหาร และของที่ระลึก
Ostrow Tumski บริเวณนี้มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 มีโบสถ์ที่สำคัญคือ Catholic Church และได้ชื่อเรียกบริเวณนี้ว่า Cathedral Island
รูปข้างล่าง : ฝั่งขวาเป็นเมือง Wroclaw มองเห็น Hala Targowa และสามารถเดินข้ามฝั่งมาที่ Cathedral Island ได้โดยผ่านสะพาน Piaskowny สีแดงๆ ซึ่งเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดใน Wroclaw
เดินข้ามสะพาน Tumski ต่อเพื่อข้ามต่อไปยัง Cathedral Island ซึ่งสะพานนี้เป็น landmark ของที่นี่
ภาพถ่ายสะพานมุมมหาชน
Wroclaw Dwarfs
เป็นประติมากรรมจิ๋ว ที่เริ่มสร้างขึ้นและวางกระจายทั่วเมืองตั้งแต่ปี 2001 ปัจจุบันมีมากกว่า 300 ชิ้น พยายามเดินล่าตามแผนที่ก็ยังเจอบ้างไม่เจอบ้าง จนหมดความพยายามครับ บางตัวแอบอยู่ตรงซอกประตู หายังไงก็ไม่เจอ ถ้าอยากเล่นไล่ล่าเจ้า 300 ตัวนี้ ลองดูตามลิงค์เลยครับ
Wroclaw Fountain
เป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ซึ่งสูงได้ถึง 40 เมตร ในฤดูร้อนจะมีการแสดงแสงสีเสียงตอนกลางคืนด้วยครับ ตอนแรกว่าจะไปดูช่วงคืนที่พักที่เมืองนี้ แต่เปลี่ยนใจเพราะเดินเหนื่อยมาก หมดแรงซะก่อน
โปแลนด์ยังมีเมืองเก่าอีกหลายเมืองที่มีชื่อเสียง (แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ 555) นะครับ เช่น Gdansk และ Sandomierz ส่วนที่เที่ยวธรรมชาติก็มีเหมือนกันครับ เช่น Zakopane ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ก็น่าจะมีโอกาสแวะเวียนไปบ้างครับ
ลองทำบางสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ลองไปบางที่ที่ไม่เคยคิดว่าดี บางทีประสบการณ์ที่ได้ก็น่าประทับใจไม่น้อยไปกว่ากัน