คราวนี้พาข้ามทะเลมาเที่ยวฝั่งยุโรปกันบ้างครับ ประเทศหนึ่งที่หลายคนอยากไปคงไม่พ้นอิตาลีครับ มีเมืองน่าเที่ยวหลายเมืองมาก ครั้งแรกของผมที่นี่เลยขอเที่ยวเมืองสำคัญๆ ของอิตาลีก่อนครับ ซึ่งก็คือ Milan, Rome, Florence, Pisa และ Lake Como อีกหน่อยถ้ามีโอกาสค่อยแวะไปที่อื่นๆ ที่อยากไปเพิ่มอย่าง Dolomite, Amalfi Coast และ Cinque Terre
ผมใช้เวลาอยู่ที่อิตาลีทั้งหมด 10 วัน (เที่ยว 7 วัน และประชุม 3 วัน) และต่อไปโครเอเชียอีก 3 วันเพื่อไป Plitvice Lake ตามที่เคยพาไปเที่ยวแล้ว แผนเที่ยวของผมที่อิตาลีถือว่าเป็นการเที่ยวแบบรีบร้อนพอสมควรเพื่อให้ได้หลายเมืองที่อยากไปในเวลาอันจำกัด จริงๆ อยากเที่ยวแบบช้าๆ ไม่รีบร้อนบ้าง เพราะมันทำให้พลาดไม่ได้เข้าชมหลายที่เหมือนกัน ได้แต่ถ่ายรูปด้านนอก
การเดินทางของผมตามรูปแผนที่ด้านบนครับ คือนั่งเครื่องจากไทยไปเริ่มต้นที่ Milan ครับ แล้วเดินทางตามลูกศรสีแดง แล้วกลับมา Milan ส่งคุณภรรยากลับไทยก่อน แล้วค่อยไปประชุมที่ Florence โดยแวะ Pisa ก่อน ตามลูกศรสีเขียว (งงล่ะสิ 555)
รายละเอียด (รูป) ของสถานที่แต่ละเมืองมันเยอะ เลยขอแยกเป็นเมืองๆ ไป คลิ๊กที่ลิงค์ด้านล่างรูปเลยครับ
วันที่ 1 และ 2 : อารัมภบทและ Lake Como
วันที่ 2 และ 3 : Venice ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก
วันที่ 3 และ 4 : Florence เมืองแห่งศิลปะ
วันที่ 4 ถึง 6 : Rome และ Vatican ประวัติศาสตร์อันยาวนาน
วันที่ 6 และ 7 : Milan เมืองแฟชั่น
สารบัญ
เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ
การทำวีซ่าอิตาลี เอกสารค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่มีคนแนะนำและรีวิวไว้เยอะมากแล้วครับ ขอข้ามตรงนี้ไป (แต่ขอบ่นนิดนึง ช่วงเวลาที่ผมไป (เดือน พ.ค. 2559) ยังไม่มีระบบการจองออนไลน์ทำให้ต้องไปรอกันตั้งแต่ไก่ยังไม่ตื่น ผมไปถึง 5.30 น. ได้คิวที่ 40 แต่ตอนนี้คงดีขึ้นแล้วครับ เพราะจองออนไลน์ก่อนไปได้แล้ว…หวังว่าจะดีขึ้นนะครับ)
ตัวอย่างกระทู้แนะนำการทำวีซ่า: http://pantip.com/topic/34795019
การวางแผนท่องเที่ยว
ได้ทำแผนล่วงหน้านานมากเพราะต้องใช้แผนเพื่อประกอบการทำวีซ่าอยู่แล้ว ผมอาศัยข้อมูลจากหนังสือท่องเที่ยว พี่ๆ น้องๆ ในพันทิพ อาทิ คุณ PKL, Coffeeblend, Traveller among moutains, เมนี่โก, Pbirdybird ฯลฯ ทำให้การวางแผนไม่ยุ่งยากมากนัก จะปวดหัวก็ตรง นู่นก็อยากไป นี่ก็อยากไป แต่เวลาไม่มี 555 สรุปต้องตัดทิ้งหลายที่เหมือนกัน เช่น Cinque Terre, Verona, Sienna
การเตรียมตัว
ที่สำคัญคือ มาตรการรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สิน โดยเฉพาะวางแผนจะแบกกล้องและเลนส์หลายๆ ตัวไปร่วมหัวจมท้ายด้วย ยิ่งของพะรุงพะรังยิ่งเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพได้อย่างดี เพราะจะเผลอได้ง่าย โชคดีผมปลอดภัยดีไม่โดนอะไร มีกระเป๋าคาดเอวแบนๆ ใส่แบงค์ใหญ่ๆ พาสปอร์ตไว้ใต้เสื้อหรือกางเกง 1 อัน แบกกระเป๋ากล้อง 1 อันและสะพายเป้อีกอันไว้ด้านหลังซึ่งจะใส่ของไม่มีค่าเลยไม่ต้องพะวงหลังมากแต่ก็มีกุญแจล็อคช่องใหญ่ของเป้ไว้อีกชั้นนึง ส่วนกระเป๋าสตางค์ มือถือเอาไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านหน้า เท่าที่อ่านกระทู้เพื่อนๆ ดู พวกมิจฉาชีพมาได้ทุกรูปแบบ ส่วนใหญ่แต่งตัวดี มาเป็นกลุ่ม คนนึงจะเบี่ยงเบนความสนใจเราจากข้าวของส่วนตัว เช่น เดินชน แกล้งทำของตก เดินเบียดตอนขึ้นรถไฟ ฯลฯ อีกคนจะประชิดตัวและขโมยของ
ส่วนพวกที่มาขายของ เราก็ทำเฉยๆ ไว้หรือ say no อย่างเดียว ห้ามสนใจ ห้ามรับ ห้ามยอมให้ผูกข้อมือเด็ดขาด ไม่งั้นเสียตังค์แน่
ที่พัก
ผมเลือกพักที่โรงแรมใกล้ๆ กับสถานีรถไฟหลักของเมือง เนื่องจากเราเปลี่ยนโรงแรมบ่อย พักไกลก็ต้องลากกระเป๋าบ่อยและไกล นอกจากนี้เวลามาถึงเมืองก็แวะเอาของเก็บที่โรงแรมก่อนได้โดยไม่เสียเวลา จะได้ไม่ต้องเสียเงินฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟ
การเดินทางขณะอยู่ที่อิตาลี
1. เดินทางในเมือง
ก็ใช้ระบบรถสาธารณะ เช่น รถบัส (รถเมล์) รถไฟ รถใต้ดิน เรือ แล้วแต่เมืองว่ามีอะไรบ้าง ส่วนใหญ่การซื้อตั๋วก็จะเหมือนๆ กัน คือ ซื้อตั๋วได้ตามร้านขายหนังสือพิมพ์ใกล้ๆ และขึ้นรถก็ค่อยเสียบ validate ตั๋วบนรถ (ไม่มีขายตั๋วบนรถ นะครับ เคยเห็นคนไม่ซื้อตั๋วแอบขึ้น โดนตรวจและปรับจริงนะครับ) ค่าตั๋วประมาณ 1-1.5 ยูโรต่อ 60-90 นาทีแล้วแต่เมือง
** และลองเช็คดูนะครับว่าแต่ละเมืองมีบัตร pass อะไรบ้าง และคำนวณดูว่าค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ค่ารถ รวมกันแล้วคุ้มกับราคา pass หรือไม่ ถ้าคุ้มก็เอาเลยครับสะดวกดี และการใช้ pass ยังทำให้เราไม่ต้องรอคิวซื้อตั๋วหรือเข้าชมสถานที่ต่างๆ ซึ่งจะยาวมากๆๆๆๆ ด้วยครับ เช่น
– Rome มี Roma pass 48 ชั่วโมง ราคา 28 ยูโร ขึ้นรถสาธารณะได้หมด เข้าพิพิธภัณฑ์ฟรี 1 แห่ง เป็นต้น (เช่น Colosseum ถ้าไม่อยากรอคิวเข้า ก็ซื้อ online ticket ไปก่อน ราคา 12+ fee 4 ยูโร ก็รวม 16 ยูโรเข้าไปแล้ว ถ้าขึ้นรถนู่นนี่ตอนเดินทาง เบ็ดเสร็จก็เกือบ 28 ยูโรแล้วครับ)
– Venice มี Travel card ให้เลือกหลายแบบครับ เช่น แบบ 24 ชั่วโมง ราคา 20 ยูโร ขึ้นเรือโดยสารได้ไม่จำกัด (ค่าเรือต่อเที่ยวก็ 7 ยูโรเข้าไปแล้ว ถ้าขึ้นเกิน 3 เที่ยวก็คุ้มแล้วครับ)
2. เดินทางระหว่างเมือง
ผมเลือกขึ้นรถไฟซึ่งมี 2 บริษัทใหญ่ๆ คือ Italo และ Trenitalia ซึ่งถ้าเช็ครอบและจองออนไลน์ก่อนไปได้จะดีมากครับ ผมจองผ่าน goeuro.com
ข้อดีของการจองตั๋วไปก่อน คือ ถ้าจองก่อนนานประมาณ 1-2 เดือน จะได้ตั๋วที่ราคาถูกกว่า และ print ใบจองไปขึ้นรถได้เลย ไม่ต้อง validate ตั๋วก่อนขึ้นรถ (ถ้าซื้อที่สถานีรถไฟ ต้อง เอาตั๋วไปปั๊มในเครื่อง validate ตั๋วในสถานีก่อนครับ เพราะถ้าลืม validate จะโดนปรับหลายสิบยูโรเลย)
เครื่อง validate ตั๋ว (กล่องเหลืองๆ ด้านซ้าย หรือบางที่ก็จะสีเขียว ใส่ตั๋วเข้าไปเหมือนๆ ตอกบ้ตรน่ะครับ)
การจองตั๋วเข้าชมสถานที่ต่างๆ
ซื้อเอาหน้างานได้ แต่คิวจะยาวมากถ้าเป็นที่ๆ นักท่องเที่ยวนิยมไป บางแห่งจึงควรซื้อออนไลน์ไปก่อน ข้อดีของการซื้อออนไลน์ไปก่อนคือ ไม่ต้องต่อคิว แต่ข้อเสียคือ ดันคิดค่าธรรมเนียมการจองด้วย 2-4 ยูโรแล้วแต่สถานที่และอาจทำให้เวลาเราไม่ยืดหยุ่นพอเพราะต้องไปให้ตรงเวลาที่ซื้อไว้ (แต่จริงๆ หลายคนในพันทิพมารีวิว บางคนไปก่อนหรือไปไม่ทัน ก็คุย (หรือขอร้อง) กับเจ้าหน้าที่ เขาก็ให้เข้ารอบอื่นได้ (แต่คงไม่ทุกที่นะครับ)
การติดต่อสื่อสาร
มีหลายบริษัทให้เลือกซื้อซิมและโปร ที่ใหญ่ๆ และมีร้านเกือบทุกสถานีรถไฟใหญ่ๆ ก็คือ TIM, Vodafone และ Wind (ผมใช้ของ Vodafone : 25 euro โทรได้ 300 นาทีในอิตาลี (ใช้โทรหากันเวลาเดินหลงกัน ซึ่งบ่อยมากๆๆๆ) และ internet 4G 5 GB) ผมว่ามันทำให้การเดินทางและชีวิตสะดวกมากขึ้นเยอะครับ เนื่องด้วยสมองอะมีบาอย่างผม (เดินเปะปะ หลงทางตลอดดดด) แอพที่ใช้บ่อยสุดคือ Google map 555 โดยเฉพาะเรามาเที่ยวแบบรวบรัด ถ้าหลงนี่อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้
Lake Como
เป็นชื่อเรียกรวมๆ ของเมืองที่อยู่รายรอบทะเลสาบโคโม่ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของมิลาน เมืองที่มีชื่อเสียงที่คนมักมาเที่ยวกันก็มี Bellagio, Varenna, Menaggio, Como และ Lenno
การเดินทาง
1. ผมเริ่มจากสนามบิน Malpensa จากสนามบินต้องเดินทางไปที่สถานีรถไฟ Milano Centrale ก่อนครับ (ถ้าไม่ขับรถ) มีสองวิธี คือ bus ซึ่งมีที่ขายตั๋วให้เห็นตามทางเดินหลังจากออกจากรับกระเป๋าเดินทาง (8 euro) และรถไฟ ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีโดยสถานีอยู่ชั้นล่าง ซึ้อตั๋วได้จากตู้อัตโนมัติ (12 euro)
2. แล้วก็ขึ้นรถไฟจากสถานี Milano Centrale ต่อไปยังสถานีรถไฟเมือง Varenna ซึ่งก็คือ Varenna-Esino อีกประมาณ 1 ชั่วโมง ผมซื้อล่วงหน้ามาแล้วครับ แต่นี่เป็นรถไฟแบบ regional จะขายก่อนไม่เกิน 1 เดือน บางทีจะจองไม่ได้ ก็มาซื้อจากตู้ได้ครับ ราคาเท่ากัน อย่าลืมซื้อตั๋วไปกลับเลยนะครับ เพราะที่ Varenna-Esino ไม่มีตู้ขายตั๋ว
3. การเดินทางเที่ยวระหว่างเมืองแถบ Lake Como ทำได้โดยการใช้เรือ Ferry สนนราคาแล้วแต่ระยะทาง เช่น ถ้าเดินทาง varenna-Bellagio หรือ Lenno ก็เที่ยวละประมาณ 4.6 ยูโร และมี pass ให้เลือกด้วยครับ เช็คราคาและรอบเรือ ที่นี่ ครับ
ที่พัก
แถบ Lake Como ที่คนนิยมไปพักก็มี Varenna (ไม่แพงมาก เดินทางไปกลับจากมิลานสะดวก), Bellagio (สวยและแพง), Menaggio (ไม่แพง แต่ถ้ามาจาก Varenna ต้องข้ามเรือมา หรือถ้ามาจาก Como ก็เดินทางนานหน่อย) หรือ พักที่เมือง Como ก็ได้
ผมเลือกพักที่ Varenna ครับ ตอนแรกจะเอาที่ถูกหน่อยคือ Hotel Baretta (ราคา 2,600 ต่อคืน) และใกล้สถานีรถไฟมากๆ แต่ไปๆ มาๆ เกิดอยากลองพักแบบวิวดีๆ เห็นทะเลสาบบ้าง เลยจองที่ Villa Toretta ไปซึ่งแพงกว่าเอาการอยู่ มองเห็นวิวทะเลสาบและอยู่ใกล้กับท่าเรือ ferry มากแต่เดินจากสถานีรถไฟไกลหน่อย
Varenna (Diamond of the lake)
มีหลายคนบอกว่าชอบ Bellagio มากกว่าเมืองนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบ Varenna มากกว่า เพราะมีทางเดินริมน้ำ มีร้านค้ามากพอสมควร แต่คนไม่พลุกพล่าน วิวสวยและเมืองสงบเงียบมากกว่า เดินเล่นได้เพลินๆ ผมใช้เวลาครึ่งเช้าของวันรุ่งขึ้นเดินเล่นได้สบายๆ
วิวยามเช้ามืดจากหน้าต่างโรงแรม
ท่าเรือ ferry อยู่หน้าโรงแรมเลย
เมือง Menaggio มองจากฝั่ง Varenna
มีทางเดินเลียบฝั่งทะเลสาบ
เดินตามทางเดินริมทะเลสาบมาอีกหน่อย ก็จะเจอกลุ่มร้านค้า บ้านเรือนน่ารักๆ สีสดใส อยู่เรียงรายกันไป หันไปมองทางไหนก็สวยไปหมด
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะถึง Villa ที่มีชื่อของเกาะนี้ คือ Villa Monestero ค่าเข้าชมสวน 5 ยูโร ถ้าเข้า house museum ด้วยก็รวมเป็น 8 ยูโร แต่ผมไม่ได้เข้า ได้แต่เดินอ้อมลงริมแม่น้ำทางด้านหลังวิลล่าชมวิวแทน
นอกจากทางเดินริมทะเลสาบและ Villa นี้แล้ว ยังมีปราสาทอีกที่นึงที่เห็นในแผนที่ด้านบน แต่ไม่ได้ไปครับ เวลาไม่พอ เดินไกลพอสมควร
เรือ ferry ที่เราจะขึ้นไปต่อกันที่ Bellagio และ Lenno ครับ
วิวจากเรือ เห็นเมืองและวิวสองฝั่งของทะเลสาบ สวยมากครับ ถ้าได้แสงดีๆ นี่เห็นเป็นสีน้ำเงินออกเขียว สวยมากครับ นั่งไม่ติดเลย
มองย้อนกลับมาทางฝั่ง Varenna อยากได้วิวแสงเย็นรูปนี้จัง แต่กลับมาไม่ทัน มืดซะก่อน
เมืองที่เราจะไปกันต่อก็คือ Lenno ครับ ในตัวเมืองไม่มีอะไร แต่ที่นี่จะมีที่ๆ หลายคนอยากมา คือ Villa del Balbianello
Lenno
Lenno เป็นเมืองเล็กๆ ที่คนมาที่นี่จะมีจุดหมายปลายทางที่วิลล่าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง คือ Villa del Balbianello ที่ใช้เป็นฉากถ่ายหนังหลายเรื่อง เช่น Star Wars, Jame Bond มารอบนี้เลยต้องแวะซะหน่อย วิธีการเดินทางจาก Varenna ก็คือนั่ง ferry มาลงที่ Lenno แล้วเดินต่อประมาณ 1 กิโลเมตร (ดูไม่ไกล แต่เหนื่อยมากเลยครับ เพราะเดินขึ้นเขา) หรือจะนั่ง Taxi Boat จากท่าเรือ Lenno ต่อไปก็ได้ ราคาประมาณ 6-8 ยูโรต่อเที่ยว แต่เรางก เลยเดินดีกว่า ตอนไปถึงเขาปิดไม่ให้เข้าชมวิลล่าแล้ว (last entrance 16.30 น. ราคา 15 ยูโร) แต่ยังเสียเงินเข้าชมสวนได้ (last entrance 17.15 น. ราคา 7 ยูโร) ถ้าวางแผนจะไปควร เช็ควันปิดของที่นี่ ให้ดีก่อนนะครับ
วิวจาก ferry เห็น Villa อยู่ลิบๆ หลังสีเหลืองๆ ออกแบบภายนอกค่อนข้างเรียบๆ แต่แต่งสวนรอบๆ ได้สวยทีเดียว
ทางเดิน เป็นเส้นสีขาวๆ ในป้าย ที่คดเคี้ยวๆ นั่นล่ะครับ ไม่ไกลแต่เหนื่อยตรงเดินขึ้นเขานี่ล่ะ
ถึงจะเหนื่อยแต่วิวสองข้างสวยมากครับ ด้านนึงเป็นป่า อีกด้านเป็นวิวเมืองและทะเลสาบ
ทางเข้า Villa
ใช้เวลาอยู่เมืองนี้ประมาณเกือบสองชั่วโมง (รวมเวลาเดินด้วย) ก็มารอเรือเพื่อไปต่อที่ Bellagio ครับ
นี่เป็นวิวสวนของโรงแรมด้านข้างท่าเรือของ Lenno
โดยส่วนตัวคิดว่าไม่ได้สวยมากมาย วิวก็เฉยๆ ให้เลือกย้อนหลัง ไม่เข้าดีกว่า อีกทางเลือกที่อยากแนะนำคือ นั่งเรือเลยไปอีกป้าย เพื่อเห็นวิวของวิลล่าจากเรือแล้วค่อยนั่งย้อนกลับ ดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียวครับ
มาต่อกันที่เมืองสุดท้ายที่ผมได้ไปที่ Lake Como กันครับ นั่นคือ เมือง Bellagio เคยได้ยินชื่อนี้ตอนไปลาสเวกัส เป็นชื่อโรงแรมที่มีแสดงน้ำพุตอนกลางคืน ไม่รู้เกี่ยวอะไรกันหรือเปล่า
Bellagio (Pearl of the lake)
เป็นเมืองที่มีร้านค้ามากมาย ทั้งร้านของที่ระลึก ร้านอาหาร เรียงรายกับตามขั้นบันได เดินได้เพลินๆ ครับ
วิวเมืองจากบน ferry
ตบท้าย กินอาหารเย็นกันที่นี่ครับ เขาบอกว่าให้มากินปลาทะเลสาบ แต่ชื่อจำเมนูไม่ได้ละ จำได้แต่ชื่อ whitefish อย่างนึง
ปิดท้ายด้วยวิวกลางคืนของเมืองตรงท่าเรือครับ จริงๆ ว่าจะไปถ่ายแสงเย็นตอนนั่งเรือกลับ Varenna แต่รอไปรอมา กะรอบเรือผิด เลยได้อยู่จนเรือรอบสุดท้ายคือสามทุ่มครึ่ง ปรากฎว่าวิวที่ต้องการนั้นมืดสนิทไปเรียบร้อย (T..T) ง่วงก็ง่วง เมื่อยก็เมื่อย
สรุปจบทริปที่เมืองนี้ด้วยความอิ่มเอม เมืองสวยมากและเพลินมากครับ คนก็ไม่เยอะมาก นี่ขนาดได้รีบๆ เดินยังประทับใจ ถ้าได้มาอยู่แบบเนิบๆ (แบบที่ภาษาวัยรุ่นเรียกว่าสโลว์ไลฟ์…วัยผมมันไม่ได้ใช้คำนี้ละ) คงจะดีไม่น้อยครับ
หลังจากเสร็จทริปที่ Lake Como เราไปกันต่อที่ Venice กันครับ รอติดตามกันต่อนะครับ