อิ่มเอมกับธรรมชาติและเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบรอบทะเลสาบ Como กันแล้ว คราวนี้มาต่อกันที่เมืองที่มีชื่อเสียงเมืองหนึ่งของอิตาลี และเป็นเมืองในฝันของหลายๆ คน ตามกันมาเลยครับที่ เวนิส ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก
แต่ละเมืองที่ไปในทริปนี้ คลิ๊กที่ลิงค์ด้านล่างรูปเลยครับ
วันที่ 1 และ 2 : อารัมภบทและ Lake Como
วันที่ 2 และ 3 : Venice ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก
วันที่ 3 และ 4 : Florence เมืองแห่งศิลปะ
วันที่ 4 ถึง 6 : Rome และ Vatican ประวัติศาสตร์อันยาวนาน
วันที่ 6 และ 7 : Milan เมืองแฟชั่น
เวนิส (Venice)
เวนิสเป็นอีกเมืองที่เคยได้ยินชื่อมานานแล้วทั้งที่หัวหิน ลาสเวกัส และมาเก๊า ในที่สุดก็ได้มาซะที เมืองนี้อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าบนเกาะนั้นไม่มีการใช้รถในการเดินทาง จะมีก็แต่เดินๆๆๆ และใช้เรือล่องไปตามคลองเล็กคลองน้อย ร่วมกับวิวบ้านที่มีสีสันสองข้างทางทำให้มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก แต่จะเสียบรรยากาศนิดนึงก็ตรงที่คนเยอะมากๆๆๆ (ก็เมืองท่องเที่ยวนี่นา)
เวนิส (Venice หรือ Venezia) มีหลายสมยานาม เช่น ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก หรือเมืองแห่งสายน้ำ หรือเมืองแห่งสะพาน เป็นเมืองที่ประกอบไปด้วยเกาะเล็กๆ มากมายกว่า 118 เกาะ ซึ่งอยู่บนบริเวณทะเลสาบ Veneta ทำให้มีสะพานเชื่อมช่วยในการเดินทางจำนวนกว่า 400 แห่ง และปัจจุบันก็เป็นเมืองมรดกโลกแห่งหนึ่ง
สารบัญ
การเดินทางภายในเมือง
– สถานีรถไฟหลักของเมือง คือ Venezia Santa Lucia
– การเดินทางภายในเวนิส ส่วนใหญ่จะเดิน เพราะที่เที่ยวมักอยู่ในระยะเดินถึงอยู่แล้ว และยังได้ชมตึกรามบ้านช่องริมคลอง วิวสะพาน ฯลฯ มีซอกเล็กซอกน้อยมากมาย จน…หลง (google map ช่วยได้มากครับ) แต่การนั่งเรือก็ได้วิวสวยอีกแบบ และไม่เมื่อยด้วย เรือโดยสารของที่นี่มีหลายระบบตามรูปด้านล่างและวิ่งไปตามท่าต่างๆ ตามแผนที่ด้านล่างเลยครับ ค่าโดยสาร (ปี 2016) ก็ประมาณ 7 ยูโรต่อเที่ยวต่อระยะเวลาที่กำหนด (จำไม่ได้แล้วว่า 75 หรือ 90 นาที) แต่ก็มีตั๋วเหมาให้ด้วยนะครับ เผื่อจะนั่งหลายเที่ยว เช่น 1-day travel card ก็ราคา 20 ยูโร เป็นต้น ดูรายละเอียดได้ ที่นี่ ครับ
นอกจากนี้ยังมีเรือกอนโดลา (gondola) ที่เรามักเห็นตามที่เที่ยวต่างๆ เช่นที่เวกัส ที่คนพายจะยืนและบางลำจะร้องเพลงไปด้วย แต่ที่นี่เลิกร้องไปแล้วมั้งครับ ไม่เห็นร้องซักลำ ค่าเรือก็แพงเอาการอยู่ ประมาณ 80-100 ยูโรต่อ 60-90 นาที ต่อรองได้ และการจราจรทางน้ำก็ขวักไขว่มาก เลยดูไม่โรแมนติกเหมือนที่เคยวาดฝันไว้เวลาที่เห็นในหนัง
สามารถซื้อตั๋วได้ที่ท่าเรือหรือซื้อแบบเหมา (pass) ได้ที่บู้ทหน้าสถานีรถไฟ
ที่พัก
ที่พักบนเกาะจะค่อนข้างแพง ถ้าให้ถูกหน่อยอาจจะข้ามไปพักบนฝั่งใกล้ๆ สถานีรถไฟ Venezia Mestre ก็ได้ครับ และจะมีรถบัสวิ่งข้ามสะพานมาส่งที่เกาะเป็นรอบๆ
ผมมาถึงที่นี่ช่วงเย็นแล้ว แต่ช่วง พ.ค. จะมืดช้า พระอาทิตย์ตกประมาณสองทุ่ม เลยมีเวลาเที่ยวเยอะหน่อย หลังจากเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมแล้ว ก็ซื้อตั๋วเรือแบบ 1-day ราคา 20 ยูโร แล้วก็เริ่มสำรวจเมืองกันครับ
แผนวันแรกนี้คือ ไปดูพระอาทิตย์ตกตรงสะพาน Ponte Accademia ซึ่งจากตรงสะพาน จะเห็นวิวไฮไลท์ของเมือง คือจะเห็น Basilica di Santa Maria della Salute และปากทางของ Grand Canale
จะเดินไปจากสถานีรถไฟ หรือนั่งเรือไปลงที่ท่า Salute ก็ได้ครับแล้วเดินย้อนมาตามแผนที่ด้านล่าง
แต่เราพอมีเวลา เลยขึ้นเรือสาย 2 ไปลงที่สะพาน Rialto ก่อน เดินดูร้านค้า ไปเรื่อยๆ จนถึง Piazza San Macro (คนเยอะมากๆๆๆ) เมื่อเทียบกับขนาดพลาซ่าและสิ่งก่อสร้างทำให้ดูเหมือนมดตัวเล็กๆ เดินกันสะเปะสะปะไปหมด 555 แล้วค่อยนั่งเรือข้ามต่อไปยัง Basilica di Santa Maria della Salute (ใช้ตั๋วเหมาให้คุ้ม) และเดินเลาะย้อนมาทาง Ponte Accademia ตามแผนที่ด้านบน
ชมวิวกันไปเรื่อยๆ ครับ หลงเสน่ห์เวนิสเข้าให้แล้ว
มาลงกันที่ป้าย สะพาน Rialto (ปิดซ่อมอยู่ เลยไม่ได้วิวสะพานสวยๆ แต่ที่อิตาลี เวลาเขาซ่อมอะไร เขาจะมีผืนผ้าคลุมเป็นรูปของสิ่งก่อสร้างนั้นๆ ทำให้ดูไม่น่าเกลียดมาก)
แต่ด้านหลังยังไม่มีผ้าปิด
รูปตรงจตุรัส San Macro นี่ขอรวบไปลงทีเดียวของการเดินทางวันที่สองเลยนะครับ
Basilica di Santa Maria della Salute
เป็นโบสถ์สไตล์ Baroque ตั้งอยู่ปากทางของ Grande Canal สร้างขึ้นระหว่างปี 1631-1681
วิวหลังคาของโบสถ์ถ่ายจากฝั่ง San Macro
โคมไฟสีชมพู
หันกลับไปมองวิวของฝั่ง San Macro
วิวฝั่ง San Giorgio Maggiore เสียดายไม่ได้ข้ามไป บนหอนาฬิกาที่เห็น สามารถปีนขึ้นชมวิวได้ครับ
จากตรงนี้ก็เดินย้อนไปยังสะพาน Accademia
Ponte dell’ Accademia
เป็นจุดที่ถ่ายวิวเมืองเวนิสได้สวยมาก จะเห็น Salute และปากทางของ Grand Canal
วิวอีกฝั่งหันหลังกลับมา
เสียดายไม่ได้อยู่จนได้ฟ้าทไวไลท์ เพราะเหนื่อยพอสมควร เลยตัดสินใจนั่งเรือชมรอบๆ เกาะ โดยขึ้นเรือสาย 2 วนรอบอีกที และกลับไปลงที่สะพาน Rialto เพื่อหาอาหารเย็น และกลับโรงแรม
แต่ก็ได้แสงอาทิตย์สีส้มตกกระทบกับโบสถ์สวยมากครับ
ถ้ามีเวลานั่งเรือเล่นรอบเกาะ (ขึ้นเรือ Ferry โดยสารธรรมดาครับ ใช้ตั๋วเหมา และจับจองที่ยืนตรงริมๆ ให้มั่น) จะมีสาย 1 และสาย 2 ลองดู route แล้วเลือกเอาครับ
ระหว่างทางวิวสวย โชคดีเจอตอนพระอาทิตย์ตกด้วย
มาลงที่จตุรัส San Macro อีกครั้ง แล้วเดินกลับไปหาอะไรกินกันที่แถวสะพาน Rialto
จตุรัสยามค่ำคืน
เจลาโต้ กินมันทุกวัน เช้า-เย็น ไม่รู้หรอกร้านไหนมีชื่อ เจอก็แวะ อร่อยมากกก
วันที่สอง
ผมออกแต่เช้า ตั้งใจจะถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นแถว Salute หรือ San Macro แต่ตื่นไม่ทัน เลยได้พระอาทิตย์ขึ้นหน้าโรงแรม แต่ฟ้าก็สวยเป็นใจมาก เสร็จแล้วเลยเดินต่อมายัง Piazza San Macro ประมาณยังไม่เจ็ดโมงดี ปรากฎว่าฟินมากกก เพราะคนน้อยมากๆๆๆ เดินถ่ายรูปอย่างเพลิน
พระอาทิตย์ขึ้นที่สะพานหน้าสถานีรถไฟ
คนแทบไม่มี ถ่ายรูปสนุกเลย
ร้านขายของที่ระลึก ส่วนใหญ่จะเป็นหน้ากากสัญลักษณ์ของเวนิส แต่ร้านจะเปิดสายๆ หน่อย
Piazza San Macro หรือ St. Mark’s Square
เป็นจตุรัสที่สำคัญของเวนิส มีสถานที่ที่สำคัญและสวยงามตั้งอยู่ เช่น St Mark’s Basilica, Torre dell’ Orologio, Campanile, Doge’s Palace
(รูปเป็นรูปผสมกันกับวันที่มาตอนเมื่อวานเย็นนะครับ ถ้ารูปไหนคนเยอะๆ นั่นคือตอนเย็น)
เทียบกับตอนเช้า…
ด้านหนึ่งของจัตุรัสข้าง Doge’s Palace จะมีเสาหินแกรนิตขนาดใหญ่ 2 เสา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบุคคลสำคัญสองคนของเวนิส คือ Saint Theodor (รูปปั้นคนถือดาบและจระเข้) และ Saint Mark (รูปปั้นสิงโตมีปีก)
Doge’s Palace (Palazzo Ducale)
เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ Gothic สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 ภายในประดับด้วยทองคำและภาพจิตรกรรมสวยงามมากมาย เสียดายที่ไม่ได้เข้าชม ถ่ายรูปแต่ภายนอก
Basilica di San Marco หรือ St Mark’s Basilica
เป็นสถาปัตยกรรมหลายๆ แบบผสมผสานเข้าด้วยกัน ภายในยิ่งใหญ่สวยงาม (เสียดายผมไม่ได้เข้าชมครับ เพราะเวลาไม่พอ และแถวคิวยาวมาก)
เสาเป็นหินอ่อนหลากสี สวยมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำหลายสี ไม่ทำสีเดียวกันทุกต้น
Torre dell’ Orologio (หอนาฬิกา)
ระฆังบนยอดหอนาฬิกา
Campanile of St Mark’s Church (หอระฆัง)
สามารถปีนบันไดขึ้นไปชมวิวเมืองเวนิสมุมสูงได้ครับ
Bridge of Sigh (Ponte dei Sospiri)
อยู่ด้านข้างของ Doge’s Palace เป็นสะพานแคบๆ ที่นักโทษจะใช้เดินก่อนเข้าเรือนจำ ชื่อมันก็เปรียบกับเสียงถอนหายใจของนักโทษที่กำลังเดินหันหลังให้อิสรภาพโดยผ่านสะพานแห่งนี้
จากจตุรัสนี้ มองออกไปทางทะเลจะเห็นวิวของ San Giorgio Maggoire และอีกด้านหนึ่งคือ Salute
จริงๆ โปรแกรมเดินเที่ยวในวันที่สองนั้น ตอนแรกจะเดินเที่ยวตามแผนที่ด้านล่างที่วางแผนกันมา (รวบรวมมาจากที่เขาแนะนำกันในอินเตอร์เนต) แต่เพราะได้ไป Piazza San Macro มาสองรอบตั้งแต่เมื่อวานและเมื่อเช้าแล้ว ทำให้เวลาเหลือพอสมควร เลยเปลี่ยนใจลองไปเกาะ Murano และ Burano ในเวลาอันจำกัด (มาก) แทน คือมีเวลาแค่ประมาณ 4-5 ชม. ต้องดูรอบเรือให้ดีๆ พลาดแล้วจะพาลตกรถไฟไป Florence ซะเปล่าๆ สองเกาะนี้เป็นเกาะที่อยากไปแต่ตอนแรกตัดออกเพราะกลัวเที่ยวไม่ทัน แต่ในที่สุดก็ได้ไป 🙂
เดินหลงไปหลงมาก็ได้เจอหลายที่ที่น่าสนใจ เช่น ร้านหนังสือเก่าๆ เป็นพันๆ เล่ม ตกแต่งได้เก๋ดี
วิวบ้านที่ขนาบด้วยคลองสองด้าน สวยดี (พิกัด อยู่ตรงถนน Calla Pinelle บนแผนที่การเดินด้านบน)
เกาะ Murano
ผมนั่งเรือจากท่าแถวจตุรัส San Macro ไปประมาณ 40 นาที เป็นเกาะที่โด่งดังเรื่องการทำเครื่องแก้ว มีร้านค้าขายของประเภทนี้มากมาย และบางร้านมีการสาธิตวิธีการทำเครื่องแก้ว
ระหว่างนั่งเรือก็ได้วิวสวยๆ ระยะไกลของเวนิส
เกาะ Burano
เดินชมรอบเกาะ Murano เสร็จแล้วก็นั่งเรือต่อมาที่เกาะ Burano ซึ่งใช้เวลานั่งเรืออีกประมาณ 40 นาที เป็นเกาะที่มีบ้านเรือนที่มีสีสันฉูดฉาดตัดกันไปมา สวยมากครับ มีร้านค้าขายของที่ระลึก ขายเสื้อผ้า ผ้าลูกไม้ เยอะมาก ถ่ายรูปกันสนุกเลย
เดินกันซักชั่วโมง ก็รีบนั่งเรือกลับมา Venice ที่ท่า Fon te Nove แล้วก็…วิ่ง วิ่ง วิ่ง กลับโรงแรมเพื่อเอากระเป๋าไปสถานีรถไฟเพื่อเดินทางไป Florence เป็นจุดหมายถัดไป (นี่ล่ะครับ ข้อดีของการจองโรงแรมใกล้สถานีรถไฟ คือ ไม่ต้องลากกระเป๋าไกล และตอนกลับมาเอากระเป๋า เข้าห้องน้ำฟรีได้อีกด้วย (ที่นี่มักเสียค่าเข้าห้องน้ำสาธารณะ 1-1.5 ยูโร) ประหยัดเงินได้อีกนิดหน่อยเก็บเอาไว้กินเจลาโต้)
ที่เวนิสเขาบอกในอนาคตเกาะอาจจะจม เนื่องจากเกาะจะต่ำลงทุกปีๆ ปัจจุบันบางช่วงของปีก็จะมีน้ำท่วมได้เป็นระยะๆ ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงปลายปี (ธ.ค.-ม.ค.) เขามีแผนที่ให้ดูด้วยครับ ว่าถ้าเป็นช่วงนั้น ตรงส่วนไหนจะท่วมสูงบ้าง
จุดหมายปลายทางต่อไปจะพาไปเยี่ยมเมืองที่เต็มไปด้วยผลงานศิลปะมากมาย…. “Florence” ครับ