“ถนนทุกสายมุ่งสู่โรม” เป็นจริงตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน โรมก็ยังคงเป็นเมืองหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมามากที่สุด ใครที่มาโรมก็คงจะอดแวะมาเยือนนครวาติกันเสียไม่ได้ เพราะเป็นนครที่มีขนาดเล็กที่สุดและมีความเป็นศิลปะและเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของคริสตศาสนา
แต่ละเมืองที่ไปในทริปนี้ คลิ๊กที่ลิงค์ด้านล่างรูปเลยครับ
วันที่ 1 และ 2 : อารัมภบทและ Lake Como
วันที่ 2 และ 3 : Venice ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก
วันที่ 3 และ 4 : Florence เมืองแห่งศิลปะ
วันที่ 4 ถึง 6 : Rome และ Vatican ประวัติศาสตร์อันยาวนาน
วันที่ 6 และ 7 : Milan เมืองแฟชั่น
สารบัญ
กรุงโรม (Rome)
โรมเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ มีประวัติยาวนานมากว่า 2,800 ปี และเป็นจุดหมายปลายทางที่ฝันไว้มานานแล้วว่าต้องมาให้ได้ซักครั้ง โรมเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลี และเป็นที่ตั้งของนครวาติกันซึ่งเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
แผนที่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในโรม
กรอบสี่เหลี่ยมสีแดง คือที่ที่ได้ไปครับ
การเดินทาง
– สถานีรถไฟหลัก คือ Rome Termini
– เดินทางภายในเมืองตามแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ สามารถเดินถึงกันได้ หรือจะใช้รถไฟใต้ดิน (metro) ก็มีให้ใช้ได้ 2 สายหลักๆ ตามแผนที่ด้านล่างครับ แต่ข้อเสียคือ เส้นทางไม่ได้ทั่วทั้งเมือง ดังนั้นคงยังต้องพึ่งรถเมล์อยู่บ้าง (ซึ่งมักมาไม่ค่อยตรงเวลาต้องเผื่อเวลาดีๆ แต่ metro นี่ตรงเวลาและมาบ่อยครับ) สำหรับตั๋วรถเมล์ก็เหมือนเมืองอื่นครับ ซื้อที่ร้านหนังสือพิมพ์แล้วค่อยขึ้นไป validate บนรถ
ผมเลือกใช้ Roma pass 48-hour ราคา 28 ยูโร (ราคาปี 2016) ซึ่งสามารถเข้าพิพิธภัณฑ์ที่แรกได้ฟรี 1 ที่ (ไม่รวม Vatican museum นะครับ) และขึ้นรถสาธารณะได้ฟรีไม่จำกัด รายละเอียด pass อื่นๆ ดูตาม เว็บไซด์ เลยครับ
- ข้อดีของการมี pass คือ ไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋วเข้าที่ต่างๆ ขึ้นได้ทั้งรถเมล์และ metro ไม่ต้องหาที่ซื้อตั๋วรถเมล์ ไม่ต้องกลัวลืม validate ตั๋ว แต่ถ้าขึ้นรถน้อย ไม่เข้าสถานที่ใดเลย (คือ ชมแต่ด้านนอก) ก็ไม่คุ้มที่จะซื้อครับ
- อีกทางเลือกหนึ่งถ้าอยู่โรมน้อยกว่า 48 ชม. หรือไม่เข้าพิพิธภัณฑ์เลยแต่จะขึ้นรถเมล์หลายเที่ยว เขาก็มีตั๋วรถเหมา 24, 48 ชม. ฯลฯ (บัตร Roma 24H, 48H, 72H) ให้เลือกด้วย (ราคาประมาณ 7, 12 ยูโร ตามลำดับ) สามารถซื้อได้ที่เครื่องอัตโนมัติหรือร้านขายของที่สถานีรถไฟก็ได้ หมายเหตุ: เจ้าบัตร 24H นี่ใช้ได้แค่ถึงเที่ยงคืนของวันที่ validate ตั๋วครับ ส่วน 48H และ 72H ในเว็บเขาว่าใช้ได้ตามชั่วโมงหลังจาก validate
ที่พัก
มีให้เลือกมากมายหลายราคาทั้งโรงแรม, airbnb, bed and breakfast
Marcantonio Hotel
วันแรกที่โรม
หลังจากถึงโรมในช่วงบ่ายแก่ๆ เราก็เริ่มออกสัมผัสโรมที่ Spanish steps โดยนั่งรถ metro จากโรงแรมมาลงที่สถานี Spagna และเดินเที่ยวกันต่อตามแผนที่ด้านล่าง จะเลี้ยวตรอกซอกซอยไหนก็ได้ครับ ร้านค้าให้ช้อปปิ้งเยอะแยะไปหมด (จาก spanish steps กว่าจะโผล่ไปถึง Trevis fountain เล่นเอาเกือบมืด 555 เพราะกว่าจะแคะคุณภรรยาออกจากร้าน Zara ได้…)
Spanish Steps
เป็นบันไดที่กว้างและยาวที่สุดในยุโรป มีทั้งหมด 138 ขั้น เป็นแหล่งรวมร้านค้าสินค้าแฟชั่นมากมาย ที่มีชื่อสเปนอยู่เพราะตั้งชื่อตามสถานทูตสเปนซึ่งตั้งอยู่แถวนั้น
น้ำพุรูปเรือหน้าบันได (มาตอนบ่ายๆ เงาตึกบังเต็มๆ)
ปกติจะมีคนนั่งเต็มบันได แต่ช่วงนี้ปิดซ่อมครับ
Fontana di Trevi หรือ Trevi Fountain
เป็นน้ำพุที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป ตรงกลางจะเป็นรูปปั้นเทพเจ้าเนปจูนยืนอยู่บนรถม้า ลากโดยม้า 2 ตัวซึ่งตัวหนึ่งมีลักษณะสงบเสงี่ยม ส่วนอีกตัวดูพยศ ซึ่งเขาบอกว่าหมายถึงธรรมชาติของทะเลที่มีทั้งยามสงบและแปรปรวน
นักท่องเที่ยวนิยมโยนเหรียญลงไปในน้ำพุโดยหันหลังและโยนด้วยมือขวาให้เหรียญข้ามไหล่ซ้ายไป เชื่อว่าจะทำให้ได้กลับมากรุงโรมอีก
ตรงนี้คนเยอะมากๆๆๆๆ ครับ กว่าจะแซะตัวให้เข้าไปอยู่หน้าสุดเพื่อถ่ายรูปและโยนเหรียญได้ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันครับ ในแต่ละวันเขาว่ามีผู้โยนเหรียญลงไปในน้ำพุกว่า 3,000 ยูโร ทางการเอาเงินส่วนนี้ไปช่วยเหลือคนยากจนในกรุงโรม
Pantheon
ที่นี่เข้าฟรี แต่ไม่ได้เข้าครับ เพราะมาเย็น เขาปิดแล้ว
มหาวิหาร Pantheon มีอายุกว่า 2,000 ปี เป็นวิหารทรงกระบอก กว้าง 142 ฟุต และสูง 142 ฟุต ไม่มีเสาค้ำกลางคอยรับน้ำหนักทั้งที่มีขนาดใหญ่โต มีหลังคาเป็นโดมโค้งมนมีช่องวงกลมขนาดใหญ่ตรงกลางให้แสงผ่านเข้ามา เรียกช่องนี้ว่า “โอคูลุส” (Oculus) — เสียดายไม่ได้เข้าไปดู (T..T) นอกจากนี้ยังใช้เป็นที่ฝังศพกษัตริย์ บุคคลในราชวงศ์และบุคคลสำคัญหลายคน
Piazza Navona
เป็นที่ตั้งของน้ำพุที่สวยงามหลายอัน คือ
Fountain of the Four Rivers
เป็นผลงานของ Gian Lorenzo มีวิวด้านหลังคือ Church of Sant’Agnese in Agone ตรงกลางเป็นเสาโอบิริสที่นำมาจากอียิปต์
และมีรูปสลักโดยรอบแทนแม่น้ำสายสำคัญจาก 4 ทวีป ได้แก่ เอเชีย, อเมริกา, แอฟริกา และยุโรป
Fountain of Neptune
เสร็จจากจตุรัสนี้ ก็หาอะไรกินกัน เพราะที่นี่มีร้านอาหาร มีการเล่นดนตรี มีขายภาพวาดมากมาย เดินแล้วเพลินมากครับ เขาว่าจตุรัสนี้เป็นจตุรัสที่สวยที่สุดในโรม แล้วเราก็ไปกันต่อที่ Castle Sant’ Angelo ครับ เพื่อเก็บแสงเย็น
Castle Sant’ Angelo
เป็นปราสาททรงกลมริมแม่น้ำไทเบอร์ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของนครรัฐวาติกันตามสนธิสัญญาของมุสโสลินี ใช้เป็นที่เก็บพระศพของกษัตริย์เฮเดรียนและสมาชิกในครอบครัว ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นที่ตั้งของกองทหาร และใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Museo Nazionale di Castel Sant’ Angelo ผมได้เดินดูแต่วิวด้านนอกเพราะมาถึงก็มืดแล้ว และวันต่อมาก็โปรแกรมแน่น เลยไม่ได้แวะเข้าไปข้างใน เสียดายเหมือนกัน
วิวของโดมมหาวิหาร Saint Peter’s ถ่ายจากสะพานหน้า Castle Sant’ Angelo
จบวันแรกครับ เดินกันขาจะหลุด กลับโรงแรมพักผ่อนกันก่อนลุยวันต่อไปครับ
รุ่งขึ้นเช้าวันที่ 2 ในโรม
เริ่มต้นที่ Vatican city ครับ แต่ขอยกยอดไปลงรูปตอนท้ายรีวิวทีเดียวครับ ใช้เวลาประมาณครึ่งวันที่ Vatican Museum ก็ขึ้นรถเมล์ (หรือจะขึ้น Metro ก็ได้ครับ) มาต่อกันที่ Colosseum ไฮไลท์และสถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญของกรุงโรม และเดินเล่นต่อตามแผนที่ด้านล่าง
Colosseum
เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ใจกลางกรุงโรมใช้ในการประลองของเหล่า gladiator, สัตว์ป่าและสัตว์ร้ายทั้งหลาย สร้างเสร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงรี วัดโดยรอบได้ 527 เมตร สูง 57 เมตร จุคนได้กว่า 60,000 คน ที่นี่ได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2550
ค่าเข้า Colosseum 12 ยูโร (ราคาปี 2016) ถ้าซื้อออนไลน์ไปก่อนจะเสียค่าธรรมเนียม 4 ยูโร (ข้อดีคือ ไม่ต้องต่อคิวตอนเข้า) บัตรเดียวนี้ใช้เข้าได้ทั้ง Colosseum และ Roman Forum หรือสามารถใช้ Roma pass ได้
ตอนเลือกดูตั๋วเห็นทัวร์ที่น่าสนใจคือ Underground and upper level tour คือ เขาจะพาเดินไปชั้นใต้ดิน และชั้นสาม (ชั้นบนสุด) ซึ่งไม่เปิดให้คนซื้อตั๋วแบบปกติเข้า จะใช้เวลาประมาณ 1 ชม. โดยปกติส่วนนี้จะเปิดให้เข้าเฉพาะช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน เท่านั้น เลยตัดสินใจลองจองดูตาม ลิงค์นี้ ครับ ผมเริ่มจองก่อนเดินทาง 2 อาทิตย์ แต่ทัวร์ภาษาอังกฤษเต็มไปจนถึงมิถุนายนเลย ไม่รู้เขาจองกันตั้งแต่เมื่อไร หรือเขากันตั๋วไว้ก็ไม่รู้ เลยจองเป็นทัวร์ภาษาอิตาลีแทน คือกะเอาบรรยากาศ ฟังไม่รู้เรื่องก็ช่าง 555 ค่าทัวร์ 11 ยูโรต่อคน (จ่ายเพิ่มจากค่าเข้าปกติ 12 ยูโร) ถึงฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอจับเรื่องราวได้บ้าง น่าสนใจครับ ยังเสียดายถ้าฟังรู้เรื่องบ้างก็ดี
Colosseum มีการก่อสร้างที่น่าทึ่ง ใช้คอนกรีตจากหินภูเขาไฟที่ทำให้โครงสร้างแข็งแกร่ง การออกแบบต่างๆ เช่น เป็นรูปวงรีที่ให้ผู้ชมรู้สึกใกล้กับนักกีฬามากขึ้น การออกแบบทางเข้าออกที่มีถึง 80 ช่องซึ่งถึงแม้จะใหญ่และวกวนแต่ก็ทำให้ผู้ชมเดินเข้ามาในสนามกีฬาได้อย่างรวดเร็ว และมีการออกแบบการระบายน้ำอย่างดีเพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง เป็นต้น
รูปด้านล่างเป็นแผนผังคร่าวๆ ของที่นั่ง จะแบ่งตามระดับชนชั้น โดยชนชั้นกษัตริย์จะอยู่ชั้นล่างใกล้สนาม (ชั้น Podium)
เมื่อเอาพื้นของ Colosseum ออก ทำให้เห็นห้องใต้ดินด้านล่าง
เริ่มทัวร์ Underground
ห้องใต้ดินด้านล่างถูกแบ่งเป็น 2 ชั้น สร้างเป็นห้องขังเล็กๆ จำนวน 32 ห้อง สำหรับ gladiator และสัตว์ต่างๆ
ลิฟท์สำหรับใช้ขนพวกสัตว์ป่าขึ้นสู่ลานประลอง
ส่วน Upper level (ชั้น 3) เปิดให้เดินดูนิดหน่อย เป็นจุดชมวิวมุมสูง ไม่ได้เดินดูโดยรอบ
มองลงไปเห็นประตูชัยด้านล่าง
เสร็จจากทัวร์และเดินชมเอง ก็ตกราวๆ 2 ชั่วโมงครับ ก็เดินต่อมาที่ Roman Forum ครับ ซึ่งอยู่ติดกันและใช้ตั๋วใบเดียวกับ Colosseum (ถ้าซื้อตั๋ว) ซึ่งที่มีคนรีวิวบอกๆ กันมา ถ้าไม่มี pass หรือไม่ได้ซื้อออนไลน์มาก่อนและจะต่อคิวซื้อตั๋วให้มาต่อคิวฝั่ง Roman Forum เพราะคิวจะน้อยกว่าคิวที่ Colosseum มาก
Roman Forum
ถือว่าเป็นศูนย์กลางด้านต่างๆ เช่น การประชุมทางการเมือง การปกครอง บูชาเทพเจ้า ฯลฯ ของกรุงโรมในสมัยโบราณ ใช้เวลาสร้างยาวนานมากถึง 900 ปี ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังแต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่อลังการ
หลงเหลือเป็นซากปรักหักพังที่ยังสามารถให้จินตนาการได้ว่า อาณาจักรโรมันในอดีตคงจะยิ่งใหญ่มาก
มองย้อนไปเห็นจุดชมวิวบน Palatine Hill
Palatine Hill
วิว Roman Forum
วิวของ Roman Forum และ Colosseum จาก Palatine hill
เดินต่อกันออกมาจาก Roman Forum ก็จะถึง Campidoglio และ Vittoriano Emanuele Monument ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน
Vittoriano Emanuele Monument
เขาบอกว่าหน้าตาเหมือนแท่นพิมพ์ดีด ???
Campidoglio (Piazza del Campidoglio)
หมดวันละครับ วันนี้กลับโรงแรมเร็วหน่อย เพราะเหนื่อย “เมื่อย” ล้ากันมาหลายวัน โปรแกรมพรุ่งนี้เช้าว่างไว้เพื่อเก็บตกครับ โชคดีที่มีว่างไว้ เพราะจะไปเก็บนครวาติกันอีกรอบ เดี๋ยวมาเล่าต่อครับ
นครรัฐวาติกัน (Vatican City)
นครวาติกันอยู่ในกรุงโรมเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาซึ่งเป็นประมุขของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก จัดว่าเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก (0.44 ตารางกิโลเมตร) โดยมีศูนย์กลางคือ St. Peter’s Basilica ใครที่มากรุงโรมแล้วไม่แวะมานครวาติกันไม่ได้ครับ
ที่ท่องเที่ยวของวาติกันที่สำคัญ คือ พิพิธภัณฑ์วาติกันและมหาวิหาร Saint Peter’s ตามในรูปบน
Vatican Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ (มาก) ที่รวบรวมงานศิลปะทั้งหลายไว้มากมาย
ที่นี่ใช้ Roma Pass ไม่ได้ครับ ค่าเข้า 16 ยูโร + ค่าธรรมเนียมจองออนไลน์ 4 ยูโร (จะได้ไม่ต้องต่อคิว) >>> สามารถจองได้ที่ ลิงค์นี้ ครับ
แต่ถ้าจะไปซื้อตั๋วที่นั่น ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ เช้ามากๆ (ประมาณก่อนเก้าโมงเช้า) หรือไม่ก็ช่วงบ่ายเลยครับ เพราะแถวจะไม่ยาวมาก
ลานกว้างภายในพิพิธภัณฑ์
ภายในมีห้องต่างๆ มากมาย เดินกันจนเพลิน เพราะสวยไปหมด ตั้งแต่พื้นยันเพดาน
ห้องอียิปต์
นี่เป็นภาพบนเพดาน ที่เป็นภาพวาด แต่วาดให้ดูนูนเป็นสามมิติ
Raphael Rooms
มาถึงห้องสุดท้ายไฮไลท์ของที่นี่ คือ Sistine Chapel ซึ่งมีภาพวาดที่โด่งดังคือ The Creation of Adam อยู่ ห้องนี้ห้ามถ่ายรูป แต่เอารูปจากเวบไซต์ที่ทำเป็นสามมิติมาให้ดูแทน
หาเจอไหมครับว่ารูปไหน คือ The Creation of Adam
ก่อนเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ ก็จะผ่านบันไดวน มุมมหาชนที่ต้องถ่ายรูปมาให้ได้ สวยดีครับ
ผมใช้เวลาเดิน (หรือไหลไปตามฝูงชนก็ว่าได้ 555 คนเยอะมากขนาดไปเช้าแล้วนะครับ) ประมาณเกือบสองชั่วโมง (นี่เดินดูเฉยๆ ไม่ได้หยุดซึมซับบรรยากาศนะครับ) แล้วออกไปต่อที่ Saint Peter’s Basilica ครับ
หลายคนแนะนำว่าให้เข้า Vatican museum ก่อน เพราะพอเดินเสร็จมันจะมีทางเดินไป St. Peter’s Basilica อีกทางหนึ่งทำให้ไม่ต้องไปต่อแถวยาวๆ ด้านหน้า แต่…
จากที่ไปมา ผมหาทางที่บอกว่าเป็นทางลัดไปมหาวิหาร St Peter’s ไม่เจอ เลยออกมาตามทางปกติ ก็ต้องไปต่อแถวเข้ามหาวิหารกลางแดดร้อนๆ อยู่ดี ซึ่งตอนผมไปนั่นประมาณ 11 โมง รอแถวอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ซึ่งนับว่าเร็วกับช่วงเวลานี้ มารู้ทีหลังว่าวันนั้นเป็นวันหยุดของวาติกัน (5 พฤษภาคม) ไม่รู้วันอะไร เขาเปิดให้เข้าโบสถ์ได้ถึงแค่บ่ายโมง แต่ปิดไม่ให้ขึ้นบนยอด Dome (เซ็งเลย) อุตส่าห์มาแต่ไม่ได้ขึ้นไปดูวิวไฮไลท์ของนครวาติกันเลยต้องกลับ แต่โชคดีเพราะโปรแกรมของผมว่างตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นพอดี เลยมากันใหม่แต่เช้า แถวคนไม่เยอะ แต่ถ่ายรูปจะย้อนแสงหน่อย เพราะหน้าวิหารหันไปทางทิศตะวันออกพอดี
ผมมาซ่อมที่นี่อีกวัน มากันแต่เช้าประมาณเกือบๆ เก้าโมง คนน้อยกว่ากันอย่างชัดเจน รอคิวไม่ถึงสิบนาที
เล่ามาซะยาว สรุปนะครับ ว่า ถ้าซื้อตั๋วเข้า Vatican Museum ออนไลน์ไปแล้วซึ่งทำให้ไม่ต้องต่อคิวเข้า ผมแนะนำว่าตอนเช้าให้มาที่ St. Peter’s Basilica ก่อน เสร็จแล้วค่อยไปพิพิธภัณฑ์ครับ ประหยัดเวลารอคิวของ St. Peter ไปได้มากโขเลย
St. Peter’s Square
Swiss guard
St. Peter’s Basilica
การขึ้นโดมได้หลายวิธีคือจะขึ้นบันไดตลอดจนถึงยอดเลยก็ได้ (551 ขั้น) หรือจะขึ้นลิฟท์ไปครึ่งทาง (ประหยัดแรงไปได้ 320 ขั้นบันได) แล้วเดินต่อไปจนถึงยอด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมเลือกขึ้นลิฟท์แล้วค่อยเดิน สนนราคา ถ้าเดินอย่างเดียวก็ 5 euro ถ้าลิฟท์ก็ 7 euro ครับ
หลังออกมาจากลิฟท์ ได้เดินดูวิวภายในโบสถ์จากมุมสูงด้วยครับ
ออกมาที่ดาดฟ้า
วิว Vatican museum จากยอดโดม
วิวจตุรัส (ตอนเช้าจะย้อนแสงหน่อย)
ปิดท้ายการเดินทางในโรมด้วยนครวาติกันอย่างประทับใจในงานศิลปะและสถาปัตยกรรมที่อลังการและสวยงามละเอียดอ่อนมากครับ
ขอขายตั๋วเข้า Vatican Museum 4 ใบ ลดให้ด้วย
ผมซื้อตั๋วเข้า Vatican Museum ซ้ำไป 4 ใบ ช่วงกลางเดือน พย
ซื้อตั๋วราคาใบละ 16+4 =20 ยูโร (ประมาณ 20*39= 780 บาท, 4 ใบ 3120 บาท)
ขายต่อใบละ 500, 4 ใบ 2000 บาท ครับ
ต้องการขายให้ใครที่จะไปในปี 2017 นี้ครับ
ระบบอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อผู้เข้าขมและวันเวลาได้ 1 ครั้ง
ท่านไหนสนใจติดต่อไลน์ไอดี chawinch
รบกวนระบุวันที่จะไป ผมจะเปลี่ยนตั๋วเป็นชื่อใหม่และวันที่ใหม่ทั้งหมด
จากนั้นส่งพาสเวิดให้คนซื้อล็อกอินเข้าไปเช็คว่าถูกต้อง แล้วค่อยจ่ายผมก็ได้ครับ
ถ้าไม่มีใครซื้อเห็นจะต้องไปเร่ขายหน้าที่ขายตั๋ว -_-”