“เพราะอียิปต์ไม่ได้มีแค่ปิระมิด” คราวนี้จะพาเดินทางข้ามทะเลทรายลงมาทางใต้ สู่ดินแดนของ Upper Egypt กันบ้าง รับรองว่าความสวยงามและอลังการไม่แพ้กันเลย
ตอนนี้เราจะไปกันต่อที่ Upper Egypt คือ Aswan และ Abu Simbel ครับ ทีแรกว่าจะรวม Luxor ไว้กระทู้เดียวเลย แต่เขียนไปเขียนมามันยาวมากครับ เลยแยกเป็นอีกตอนดีกว่า
Related topics: ติดตามเรื่องราวอียิปต์ตอนอื่นๆ กดที่ชื่อเรื่องด้านบ่างได้เลยครับ
- ตามฝันตามประวัติศาสตร์….อียิปต์ ตอน 1 : เกริ่นนำ และ Lower Egypt
- ตามฝันตามประวัติศาสตร์….อียิปต์ ตอน 3 : Upper Egypt (จบ)
สถานที่สำคัญๆ ทั้งหลายในแถบนี้ เกิดในยุค Middle หรือ New Kingdom เนื่องจากมีการย้ายเมืองหลวงจาก Memphis มายัง Thebes หรือ Luxor ในปัจจุบันครับ
สารบัญ
Upper Egypt (Southern Egypt)
ที่พัก
ถ้ามาแถวนี้ สามารถเลือกพักได้หลายที่ครับ ไม่ว่าจะเป็น Aswan หรือ Luxor โดยเดินทางจาก Cairo ด้วยรถไฟนอนหรือเครื่องบิน
ที่พักใน Aswan มีกระจายทั่วไปครับ สามารถเลือกได้ตามสะดวกครับ ผมพักที่ Pyramisa Isis Corniche ครับ อยู่แถบในเมือง ใกล้ tourist market และอยู่ริมแม่น้ำไนล์ วิวสวยดี จองในเว็บของโรงแรมราคาจะถูกกว่าใน booking.com
ที่พักใน Luxor นิยมพักกันที่ East Bank ซึ่งเป็นฝั่งเมืองใหม่ เลือกใกล้ๆ Luxor Temple หรือ Karnak Temple ก็ใกล้ที่เที่ยวฝั่ง East Bank ดีครับ เดินไปได้ ผมเลือกพักที่ Iberotel Hotel
การเดินทาง
ผมเดินทางจาก Cairo ลงมา Aswan โดยเครื่องบินครับ (แต่ถ้าเป็นรถไฟนอนก็จะใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง) แล้วก็จะไป Abu Simbel และ Luxor ต่อ การเดินทางในแถบ Upper Egypt นี้คงแบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือ
- Aswan – Abu Simbel ไม่มีรถไฟครับ อาจเดินทางได้โดยทางรถ, เครื่องบิน (ซึ่งเสี่ยงต่อการโดนยกเลิกเที่ยวบินอย่างที่บอกไปในตอน 1) หรือ เรือ (Lake Nasser Cruise) (ตอนนี้ไม่มีเที่ยวบินระหว่าง Luxor – Abu Simbel แล้ว)
การเดินทางไป Abu Simbel ด้วยรถ ในสมัยก่อนต้องออกเดินทางพร้อมกันเป็นขบวนโดยมีรถตำรวจนำ ซึ่งจะออกจาก Aswan ประมาณตี 4 (กลับประมาณ 9 โมง) และช่วง 11 โมงเช้า (กลับประมาณสี่โมงเย็น) แต่ก่อนผมไปไม่นาน (ประมาณปี 2016) เขาได้ยกเลิกกฎที่ต้องไปโดยมีตำรวจนำแล้ว จะออกเดินทางเมื่อไรก็ได้ครับโดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง (เกือบๆ 300 กิโลเมตร)ถ้าเป็น private tour ก็สบายหน่อย ไม่ต้องตื่นตีสาม
ผมไม่ได้ซื้อทัวร์ไป-กลับ เพราะอยากนอนที่ Abu Simbel คืนนึง เพื่อจะได้วิวคนน้อยๆ และดู sound and light show ด้วย ตอนแรกจองนั่งเครื่องไป-กลับ แต่โดนยกเลิกเที่ยวไป (เซ็ง) เลยต้องหารถไปเอง เลยหาบริษัททัวร์แล้วขอเขาเฉพาะรถไปส่ง (one-way, ไม่รวมไกด์) เพราะขากลับนั่งเครื่องเหมือนเดิม ราคา private minibus ที่ติดต่อได้ (Memphis tour) ราคา 145 USD ต่อคัน
- Aswan – Luxor อาจทำได้โดยรถ, รถไฟ หรือ เรือ (Nile Cruise หรือเรือ Felucca) ซึ่งถ้าเดินทางด้วยเรือก็มีให้เลือกมากมายครับ ส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 3-4 คืน
ผมใช้บริการรถไฟครับ เดินทางตู้ First class ราคา 51 อียิปต์ปอนด์ (one-way) รอบ 19.45 น. ซื้อตั๋วที่สถานีได้เลย
ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ (ราคาเมื่อปี 2017)
ศิลปะอียิปต์ รู้ไว้จะได้เที่ยวสนุก
ความเห็นส่วนตัวผม ผมว่า จะเที่ยวอียิปต์ให้ฟิน นอกจากประวัติคร่าวๆ (อ่านได้จาก ตอน 1 ) น่าจะรู้เรื่องศิลปะ จิตรกรรมของอียิปต์กันซักเล็กน้อยครับ เพราะแถบอียิปต์บนนี้ พวกสิ่งก่อสร้างต่างๆ ฝาผนัง เสา เพดาน จะเต็มไปด้วยศิลปะจิตรกรรมมากมายครับ ไม่เหมือนกับอียิปต์ล่าง ที่เน้นเป็นปิระมิดยิ่งใหญ่ ผนังภายในไม่ค่อยมีการสลักอะไรมากนัก
ผมไม่ได้มีความรู้เรื่องศิลปะหรือประวัติศาสตร์อะไรมาก เล่าคร่าวๆ จากสิ่งที่ได้เห็นและได้เคยอ่านมาบ้างครับ น่าจะพอได้เห็นภาพกว้าง
ลักษณะพิเศษของศิลปะอียิปต์ คือเป็นรูปที่ดูเรียบง่าย แต่มีลักษณะเฉพาะ คือ ไม่ค่อยมีมิติ (เป็นภาพสองมิติ) เช่น ถ้าลงสีก็ไม่มีแรเงา ถ้าวัตถุอยู่คนละระนาบ จะวาดทับซ้อนกันแบบดื้อๆ ตามรูปด้านล่าง และคง concept เดียวกันหมด ไม่ว่าจะเป็นภาพสลักนูนต่ำ นูนสูง หรือภาพวาด
ถ้าเป็น รูปคน จะวาดหน้า ส่วนขาและเท้า แบบหันข้าง แต่ลำตัวและแขนจะวาดแบบหันหน้า สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดเป็นพิเศษ ตามรูปด้านล่าง
ตัวอักษร ใช้อักษรอียิปต์โบราณที่เรียกว่า เฮียโรกริฟฟิก (Hieroglyphic)
การลงสี มีหลายสี ซึ่งเป็นสีที่ได้จากหินและแร่ธาตุ (ตอนแรกคิดว่ามาจากใบไม้ใบหญ้าซะอีก) ได้แก่ เหลือง (จากหินแร่ orpiment ซึ่งมีส่วนประกอบของอาร์เซนิกและกำมะถัน) และแดง (จากเหล็กออกไซด์), ขาว (จากยิปซั่ม) น้ำเงิน และเขียว (จากหินอะซูไรท์และมาลาไคท์) จึงเป็นสีมีความคงทนและเรายังเห็นร่องรอยของสีสันต่างๆ อยู่บ้าง แต่ในที่ๆ ไม่โดนสภาพอากาศภายนอก เช่นในสุสานที่ Valley of the Kings สีสันชัดเจนมากครับ จนยังเถียงกับเพื่อนอยู่ว่าตกลงมันวาดใหม่หรือของเก่า เดินไปเถียงกันไป 555 (แต่ไกด์ก็ยังนั่งยันนอนยันว่าของเดิมนะยู ไม่มีลงใหม่)
อุปกรณ์ลงสี
เรื่องราว ที่สลักหรือวาดลงบนผนัง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องความเชื่อเรื่องเทพเจ้า ชีวิตหลังความตาย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และความยิ่งใหญ่ของฟาโรห์ ดูแล้วตื่นตาตื่นใจ และ “งง” ครับ เพราะจำไม่ได้ว่าอะไรคืออะไรบ้าง หลังๆ จะเดินดูผ่านๆ ละ เสพความสวยอย่างเดียว 555 เพราะโดยรวมจะคล้ายๆ กันครับ แต่ก็สวยตะลึงทุกที่เลยเพราะละเอียดและเนี้ยบมาก เดินดูไปก็คิดถึงภาพวิหารหรือสุสานสมัยนั้นไป คงสวยมากเลย
- เรื่องราวที่อยู่บนผนังหรือเสาของ วิหารต่างๆ มักจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการบูชาเทพเจ้า และวิถีชีวิตของคนอียิปต์โบราณ หรือเป็นภาพแสดงความยิ่งใหญ่ของฟาโรห์ เช่น ตอนฆ่าศัตรูหรือกำลังจะออกรบ
เทพเจ้าต่างๆ ของอียิปต์โบราณ เดินดูไปๆ มาๆ ก็จะงงว่าเทพองค์ไหนชื่ออะไร หลังๆ ไม่คิดละ ดูความสวยอย่างเดียว 555 มันจำไม่ได้ โดยเทพเจ้าราถือว่าเป็นเทพสูงสุด เพราะอียิปต์เชื่อว่าเป็นผู้สร้างโลก สวรรค์และสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
- เรื่องราวบนผนังหรือเสาของ สุสาน (Valley of the Kings หรือ Queens) มักจะเป็นบทสวดมนต์ และภาพซึ่งแสดงชีวิตหลังความตาย เช่น การตัดสินความดีความชั่วโดยการชั่งน้ำหนักระหว่างหัวใจและขนนก (ถ้าหัวใจเบากว่าขนนกจะได้ขึ้นไปสรวงสวรรค์) การติดต่อกับเทพต่างๆ เป็นต้น คล้ายๆ กับภาพด้านล่างครับ แต่ด้านล่างเป็นภาพที่วาดลงบนกระดาษปาปิรุสที่ผมซื้อมา ถ้าสนใจเรื่องราวเพิ่มเติมดูต่อได้ที่ คลิปวิดิโอนี้ ได้ครับ สรุปสั้นเข้าใจง่ายดี
- ส่วน สุสานของขุนนาง (Noble Tombs) ก็เป็นภาพที่แสดงชีวิตหลังการตายเหมือนกัน แต่จะมีภาพเกี่ยวกับเรื่องราววิถีชีวิตธรรมดาปะปนไปด้วย
รู้กันคร่าวๆ แล้วก็ตามมาเที่ยวต่อกันเลยครับ
Aswan
เป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของอียิปต์ ห่างลงมาจากกรุงไคโรประมาณ 680 กิโลเมตรครับ เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเพราะมีแหล่งประวัติศาสตร์ให้ได้ดูและเรียนรู้มากมายครับ
ที่เที่ยวสำคัญ
ถ้ามีเวลาน้อย สามารถเลือกเที่ยวแบบวันเดียวได้ครับ ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะรวม High Dam, Philae Temple และ Unfinished Obelisk ไว้ แต่ผมอยากไป Kom Ombo ด้วย เลยให้ทัวร์เขารวบจัดให้อยู่ในวันเดียวเลย ซึ่งเวลาก็พอดีๆ ไม่แน่นจนเกินไปครับ (แต่อดไปวิหาร Edfu เพราะไม่ทัน)
จริงๆ Kom Ombo และ Edfu จะอยู่กลางๆ ระหว่าง Luxor และ Aswan สามารถมาเที่ยวได้จากทั้งสองที่ครับ แล้วแต่วางแผนเอา แล้วก็ยังมีเมืองเล็กๆ อยู่รอบๆ ซึ่งก็น่าไปเหมือนกันครับ แต่ผมไม่ได้ไปเลยไม่มีข้อมูลมาฝากกัน
Aswan High Dam
จริงๆ ข้ามที่นี่ไปเลยก็ได้ครับ เพราะไม่ค่อยมีอะไรให้ดู ที่นี่เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่สร้างกั้นแม่น้ำไนล์ สร้างเสร็จเมื่อปี 1970 เป็นเขื่อนที่มีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของอียิปต์ครับ และเป็นสาเหตุที่ต้องมีการย้ายวิหาร 2 แห่งเพื่อหนีน้ำท่วม คือ Philae Temple และ Abu Simbel และการสร้างเขื่อนนี้ยังทำให้เกิดทะเลสาบ Nasser ที่กว้างใหญ่และสวยงามทางตอนใต้ของประเทศอีกด้วย รูปด้านล่างเอามาจาก internet ครับ
Unfinished Obelisk
เป็นเสา Obelisk ที่สร้างไม่เสร็จเนื่องจากตอนแกะเสานั้นเกิดรอยร้าวขึ้นมาก่อน จึงถูกทิ้งไว้แบบนั้น ที่นี่ดูไม่มีอะไร แต่เป็นที่ๆ มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ครับ เพราะทำให้เรารู้ว่า เขาจะแกะเสาให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะขนย้ายไปยังที่ตั้ง การขนย้ายเสาก็เป็นเรื่องที่น่าทึ่งเหมือนกันครับ มีหลายทฤษฎีที่บอกไว้ เช่น เขาจะสร้างเนินสูงบริเวณที่จะวางเสา แล้วมีร่องซึ่งถมทรายไว้ จากนั้นค่อยๆ ขนเสาในแนวนอนให้ลงในร่อง แล้วค่อยๆ ปล่อยทรายออกจากร่อง เสาก็จะค่อยๆ เลื่อนลงมาในแนวตั้งจนถึงพื้นดินเมื่อปล่อยทรายหมดคล้ายๆ ในรูปด้านล่างครับ
ภาพจำลองการขนย้ายและตั้งเสา Obelisk
ทางเดินขึ้นไปชมเสาหิน
เห็นร่องด้านข้างเสา เป็นร่องรอยที่ทำให้เรารู้ว่าเขาตัดหินแข็งๆ เหล่านี้ได้อย่างไร เขาจะตอกหินให้เป็นรูตามแนวที่ต้องการจะติด แล้วใส่แท่งไม้ลงไป จากนั้นเทนำ้ เมื่อไม้อิ่มตัวด้วยน้ำจะพองขยายตัวจนทำให้หินแยกออกได้
Philae Temple (Temple of Isis)
วิหารนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพ Isis โดยสร้างขึ้นในสมัย New Kingdom เดิมตั้งอยู่บนเกาะ Philae แต่เพราะการสร้างเขื่อน High Dam จึงทำให้ระดับน้ำของแม่น้ำไนล์สูงขึ้นและอาจท่วมวิหารได้ จึงมีการย้ายทั้งวิหารมายังเกาะใหม่คือเกาะ Agilkia ในปัจจุบัน สภาพวิหารยังคงเหลือร่องรอยให้เห็นเป็นแถบของระดับน้ำที่เคยท่วมวิหารครั้งที่วิหารยังอยู่ที่เดิม
มาท่ีนี่ต้องนั่งเรือมาครับ ได้ชมวิวแม่น้ำไนล์ด้วย
แผนผัง Philae Temple
Temple of Isis
ด้านข้างของ Temple of Isis ในภาพจะเห็น First Pylon (ซ้าย) และ Second Pylon (ขวา)
ภาพสลักบน First Pylon เป็นรูปฟาโรห์จับศัตรูโดยรวบผมไว้ และด้านบนเป็นรูปฟาโรห์ถวายมงกุฎของอียิปต์บนและอียิปต์ล่างให้แก่เทพ Horus และ Nephthys และถวายเครื่องหอมให้แก่เทพ Isis และ Horus
ภายใน Temple of Isis มีภาพสลักทั้งบนผนังและเสา สภาพยังคงสมบูรณ์ทีเดียว
Trajan’s Kiosk (Pharaoh’s Bed)
สร้างในยุคสมัยของโรมัน ดังน้ันจะเห็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานของโรมันเข้ามาด้วย ประกอบไปด้วยเสาขนาดใหญ่ 14 เสา เดิมมีหลังคาเป็นไม้ และภายในมีรูปสลักฟาโรห์ถวายเครื่องบรรณาการแก่เทพ Osiris, Isis และ Horus
Nectanebo’s Kiosk
มีเสา 14 ต้นที่มีรูปสลักของเทพ Hathor อยู่ (ตอนนี้เหลือแค่ 6 เสา)
Temple of Kom Ombo
วิหารนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพ Sobek (จระเข้) และ Horus (นก falcon) จึงมีวิหารของเทพทั้งสององค์อยู่เคียงข้างกัน (ตามแผนผังวิหารด้านล่าง) สร้างในยุค New Kingdom โดยบางส่วนจะมีศิลปะแบบโรมันผสมผสานด้วย
ที่นี่มีการขุดค้นพบมัมมี่ของจระเข้หลายร้อยตัว (น่าจะทำเพื่อบูชาเทพ Sobek) ทำให้มี Crocodile Museum อยู่ใกล้ๆ กันด้วยครับ ใช้ตั๋วใบเดียวกับที่เข้า Kom Ombo ได้เลย เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงมัมมี่จระเข้จำนวนมาก แต่ผมไม่ได้เข้าครับ เพราะไกด์พาเดินออกเลย เสียดายเหมือนกัน
Temple of Kom Ombo ช่วงก่อนการบูรณะ
แผนผัง Temple of Kom Ombo
ที่วิหารนี้เขาว่ามีความสำคัญทางด้านการแพทย์ด้วย เพราะมีรูปสลักที่แสดงถึงการคลอด และอุปกรณ์การแพทย์หลายแห่ง
ด้านข้างมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นลักษณะคล้ายบ่อน้ำ เรียกว่า “Nilometer” หรือ Roman Well เพราะสร้างในยุคของโรมัน ใช้วัดระดับน้ำของแม่น้ำไนล์เพื่อดูความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมและเป็นตัวกำหนดอัตราการเก็บภาษีด้วย
Nubian Village
Nubian Village เป็นของแถมของทริปนี้ครับ เพราะวันกลับจาก Abu Simbel รอขึ้นรถไฟไป Luxor มีเวลาเหลือประมาณ 5 ชม. ไกด์คนเดิมเลยหลอก เอ้ย แนะนำให้ซื้อทัวร์ Nubian Village เพิ่ม ในราคา 40 USD ต่อคน จริงๆ ไม่มีอะไรเลยครับ เป็นหมู่บ้านที่ดูสวยเฉพาะดูจากวิวแม่น้ำไนล์ 555 ข้างในหมู่บ้านไม่สวย มีแต่ร้านขายของที่ระลึก และเสื่อมโทรม ไม่คุ้มเลย แนะนำว่าไม่ต้องมาก็ได้ ชาว Nubian เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของที่นี่ครับ
แต่อย่างน้อยก็ได้ล่องเรือในแม่น้ำไนล์ดูวิวเพลินๆ ไป
ตลาดของที่ระลึกและของพื้นเมืองที่ Nubian Village
Abu Simbel Temples
ที่เที่ยวสำคัญ
Abu Simbel Temples อยู่ในเขต Aswan Governate มีทั้งหมด 2 วิหารหลัก อยู่ใกล้กัน คือ
- Temple of Ramesses II เป็นวิหารที่สร้างเฉลิมฉลองชัยชนะของฟาโรห์ Ramesses II (หรือเขียนว่า Ramses ก็ได้) ใน Battle of Kadesh และเพื่อบูชาเทพเจ้าทั้ง 3 คือ Ptah, Amun-Ra และ Ra-horakhte (Ra+Horus)
- Temple of Nefertari (Temple of Hathor) ซึ่งเป็นราชินีของฟาโรห์ Ramses II เชื่อว่าเป็นที่รักยิ่งของฟาโรห์องค์นี้ เพราะมีการสร้างวิหารไว้เคียงข้างกัน รูปสลักหน้าวิหารก็สร้างให้สูงพอๆ กับรูปสลักของ Ramses II และสุสานของ Nefertari ใน Valley of the Queens ก็มีขนาดใหญ่มากและสวยงามมากเช่นกัน
ที่นี่นอกจากจะน่าทึ่งเพราะการสลักและสร้างวิหารในภูเขาทั้งลูกแล้ว ยังน่าทึ่งเกี่ยวกับ การย้ายวิหาร จากที่เดิมมาไว้ที่ใหม่ (ที่ปัจจุบัน) ด้วยครับ โดยได้ความร่วมมือจากนานาชาติและองค์การ UNESCO เหมือนการย้ายภูเขาทั้งลูกเลย เพราะพื้นที่เดิมอยู่ในที่ต่ำและริมน้ำ ทำให้เมื่อมีการสร้างเขื่อน High Dam นำ้จะขึ้นมาท่วมวิหารได้ (เหมือน Philae Temple) โดยเริ่มในปี 1964 และเสร็จสิ้นในปี 1968 (เร็วจัง) ใช้งบประมาณไปถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สามารถชมเรื่องราวการย้ายวิหารได้ในพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ตรงใกล้ๆ ห้องขายตั๋วครับ
ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวที่ Abu Simbel แบบวันเดียวจาก Aswan โดยออกเดินทางตอนเช้าตามที่กล่าวไปด้านบน เดินเที่ยวประมาณ 2 ชม. แล้วก็กลับครับ แต่คนจะเยอะหน่อย และไม่ได้ดู Sound and Light Show ตอนกลางคืน
ผมเลยเลือกที่จะค้าง 1 คืนที่โรงแรมใกล้ๆ คือ Nefertari Hotel ซึ่งจากโรงแรมสามารถเดินมาที่วิหารได้ใน 5 นาที แต่แถบนี้ต้องทำใจหน่อยครับว่าไม่มีอะไรเลย ร้านค้าก็ไม่มี ต้องเข้าไปในเมืองซึ่งไกล ดังนั้นถ้าจะมาค้าง แนะนำให้ซื้อน้ำมาตุนไว้ด้วยครับ เพราะถ้าเช้าหรือเย็นมากๆ ร้านตรงวิหารจะปิด และราคาก็แพงกว่าด้วยครับ ส่วนเรื่องอาหารสามารถกินที่ร้านอาหารของโรงแรมได้
ถ้าจะค้างคืนแนะนำให้มาถึงช่วงบ่ายแก่ๆ (หลังบ่ายสาม) เพราะจะได้เดินดู ถ่ายรูป แบบอากาศไม่ร้อนมาก และดู Sound and Light Show และตอนเช้าค่อยกลับ แต่แนะนำว่าถ้ามาถึงบ่ายๆ วันนั้นให้ดู Sound and Light Show ก่อน แล้วรุ่งขึ้นค่อยเข้ามาเที่ยววิหารครับ เพราะแสงตอนเช้าจะสวยกว่า เนื่องจากแสงอาทิตย์ตกกระทบวิหารพอดี (ถ้ามาช่วงบ่ายจะเป็นเงาย้อนแสงหน่อย) และไม่ร้อนด้วย
ถ้าชอบแบบคนน้อยๆ ให้มาก่อน 9 โมง เพราะทัวร์จะเริ่มมาถึงประมาณ 8 โมงกว่าๆ หรือหลัง 3 โมงเย็นไปเลย (ที่นี่เปิด 6 โมงเช้าและปิดประมาณ 5 โมงเย็น)
สัมผัสแรกที่เห็น มันยิ่งใหญ่มากครับ
รูปสลักของฟาโรห์ Ramses II ด้านหน้าวิหาร มีทั้งหมด 4 อัน สูงถึง 20 เมตร แต่องค์ที่ 2 จากซ้ายพังลงมาเพราะแผ่นดินไหว ตอนย้ายวิหารมาก็ทำไว้ให้เหมือนเดิม ได้มาเห็นเต็มๆ ตาซะที หลังจากที่เห็นแต่ในรูป
บริเวณตรงขาของรูปสลักจะมีรูปสลักขนาดเล็ก เป็นตัวแทนของพระมารดา, พระมเหสี (Nefertari), พระโอรส และพระธิดา
ส่วนศีรษะของรูปสลักที่ 2 ที่พังลงมา ใหญ่มาก
ภายในไม่ให้ถ่ายรูปทั้งสองวิหารครับ แต่ตอนที่ไปคนเฝ้าที่เป็นคนท้องถิ่นอนุญาตให้ถ่ายภายในได้ตรงประตูทางเข้า
ด้านในนี่สวยมากๆๆๆ ครับ ยิ่งใหญ่ ตามฝาผนัง เสาต่างๆ มีรูปสลักอยู่โดยรอบ เป็นเรื่องราวต่างๆ ตามความเชื่อของอียิปต์โบราณ มีร่องรอยของการลงสีที่ยังคงสภาพอยู่ดีพอสมควรเทียบกับกาลเวลาที่ผ่านไปหลายพันปี อัศจรรย์มากครับ (รูปด้านล่างถ่ายมาจากหนังสือหรือ download มาจาก internet ครับ)
Temple of Nefertari
เป็นวิหารที่สร้างให้ราชินีของ Ramses II คือ Nefertari
ด้านหน้าจะเป็นรูปสลักของฟาโรห์ Ramses II และพระนาง Nefertari สังเกตว่าส่วนสูงของพระนางเท่าๆ กับ Ramses II ซึ่งแสดงว่าพระนางน่าจะเป็นที่รักยิ่งของฟาโรห์พระองค์นี้
ภายในวิหารไม่ให้ถ่ายรูปเช่นกันครับ สวยและยิ่งใหญ่ไม่แพ้ Temple of Ramses II เลย (รูปด้านล่างถ่ายมาจากหนังสือหรือ download มาจาก internet ครับ) แต่เขาให้ยืนถ่ายจากประตูด้านนอกเข้าไปได้
โถงใหญ่ของวิหาร
Sound and Light Show
คนดูน้อยครับ เพราะส่วนใหญ่เขาไม่ค้างคืนที่นี่กัน ถ้ามีคนดูไม่ถึง 10 คน จะไม่เปิดการแสดงครับ (ลุ้นตัวโก่ง ตอนผมไปมีคนเกินสิบมาหน่อยเดียว)
เมืองหน้าจะพาไปกันต่อที่เมืองหลวงเก่าอย่าง Luxor ครับ เป็นเมืองที่มีร่องรอยของประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณที่สำคัญอยู่มากมายครับ
.