ถ้าพูดถึงสถานการณ์โลกตอนนี้ ชวนใครก็คงไม่มีใครอยากจะมาประเทศจอร์แดน ผมเองก็คนนึงที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาอย่างที่เกริ่นไว้ในบทความเที่ยวเพตรา แต่จริงๆ แล้ว จอร์แดนตอนนี้ปลอดภัยมากครับ ตอนแรกที่คิดว่าเป็นประเทศที่ไม่มีอะไรนอกจากเพตรานั้นคิดผิดครับ ตั้งแต่เหนือยันใต้ มีทั้งเมืองประวัติศาสตร์สำคัญ ทะเลที่เค็มจนขม ทะเลทรายสีแดง เดินกลางแม่น้ำท่ามกลางหุบเขา ฯลฯ น่ามาเที่ยวไม่แพ้ที่อื่นเลยครับ
ดังนั้น สลัดความกลัวทิ้งไป ซึ่งเป็นข้อควรกระทำอย่างหนึ่งของการออกเดินทางท่องเที่ยว ถ้ามัวแต่กลัวนู่นนี่ เมื่อไรจะได้ก้าวออกจากบ้านซะที…ปล. แต่ต้องหาข้อมูลก่อนนะครับว่าปลอดภัยจริง 555 อย่างจอร์แดน อียิปต์ของทริปนี้เนี่ย ตอนที่ไปหาดูแล้วรับรองว่าปลอดภัยครับ งั้นเริ่มออกเดินทางได้เลย
ย้อนความ >>> เพตรา (Petra) นครศิลาสีกุหลาบแห่งจอร์แดน
บทความอียิปต์เดิม คลิ๊กที่ชื่อตอนด้านล่างได้เลยครับ
ตอนที่ 1 (เกริ่นนำและ Lower Egypt), ตอนที่ 2 (Upper Egypt),
ตอนที่ 3 (Upper Egypt ตอนจบ) และ ตอนพิเศษ (รู้จักมัมมี่)
สารบัญ
แผนการเดินทาง
เมืองที่ไม่ได้ไป แต่น่าไปเหมือนกัน เช่น Ajloun, Mount Nebo, Aqaba และ Wadi Mujib ถ้ามีโอกาสอย่าลืมเที่ยวเผื่อด้วยครับ
ค่าเข้าที่ต่างๆ ที่ได้ไปนี่ผมใช้ Jordan Pass ได้หมดครับ ยกเว้น Dead Sea ถือว่าคุ้มมาก ดังนั้นแนะนำซื้อ pass ครับ รวมตั้งแต่ค่าวีซ่า ค่าเข้าเพตรา, วาดิรัม และที่ต่างๆ หลายสิบแห่งเลย ดูรายละเอียดได้ ที่นี่ ครับ
Little Petra (Siq al-Barid)
เพตราน้อยเป็นเมืองของชาว Nabataean อยู่ในหุบเขาคล้ายๆ กับเพตรา แต่สีของหินไม่ได้ออกสีส้มชมพูเหมือนเพตรา จะเป็นสีเหลืองส้มซะมากกว่า ลักษณะของสิ่งก่อสร้างเป็นแบบเจาะเข้าไปในภูเขาเช่นเดียวกัน แต่ขนาดเล็กกว่า เลยเรียกว่า “Little Petra” จุดประสงค์ของเมืองนี้ไม่ทราบแน่ชัด อาจใช้เป็นที่อยู่อาศัยของขบวนคาราวานหรือเป็นเมืองปริมณฑลของเพตรา
ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากเพตรามากนัก เดินทางมาโดยรถประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้นครับ ที่นี่ เข้าฟรี นะครับ แต่จะมีคนท้องถิ่นวิ่งเข้ามาเก็บเงินบอกเก็บค่าเข้า คนขับรถของพวกผมเหมือนจะรู้อยู่แล้ว เลยบอกให้พวกผมเอา Jordan Pass มาด้วย พอโดนทวงตังค์ ก็โชว์ pass พวกนั้นเลยเงียบไป โชคดีไม่งั้นเสียค่าโง่แน่ๆ
เพตราน้อยก็มี “The Siq” เหมือนกันครับ
สิ่งก่อสร้างถูกสร้างโดยการเจาะและแกะสลักเข้าไปในภูเขา ประกอบกับลวดลายของหินรอบๆ ทำให้สวยอย่างบอกไม่ถูกครับ บางที่สามารถปีนขึ้นไปดูได้ครับ
Painted Biclinium
มีรูปวาดโบราณอยู่บนเพดานซึ่ง (เขาบอกว่า) ยังสมบูรณ์มากครับ ที่ผมบอกว่า “เขาบอกว่า” เพราะตอนไปหาไม่เจอไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน 555 มาค้นข้อมูลดูตอนกลับมาแล้วเลยเพิ่งรู้ว่ามันอยู่บนเพดานห้องด้านหลังประตูลูกรงที่เห็นในรูปล่าง
วิวระหว่างทางกลับช่วงหนึ่งจะเห็นวิวเมือง Wadi Musa ได้ครับ
Wadi Rum (วาดิรัม)
หลังจากเที่ยวเพตรา ผมออกเดินทางจากเพตรามุ่งลงทางใต้โดยติดต่อรถของบริษัทที่จะพาทัวร์ (ผมใช้บริการของ Classic Wadi Rum Tour) ในทะเลทรายวาดิรัมมารับที่โรงแรมในเพตราเลย โดยผมติดต่อจองไว้ล่วงหน้า แต่ที่ตัวเมืองเพตรา (Wadi Musa) ก็มีให้เลือกเยอะครับ หรือติดต่อที่โรงแรมก็ได้
การเดินทางถ้าไม่ได้ไปทัวร์ (แต่เที่ยวในทะเลทรายวาดิรัม ก็ต้องซื้อ local tour อยู่ดีครับ) สามารถเดินทางได้จากอัมมาน, เพตรา หรือ อะคาบา (Aqaba) จะค้างคืนหรือไม่ค้างก็ได้
- ไม่มีรถบัสจากอัมมานมาที่วาดิรัมโดยตรง ต้องขึ้นรถบัสที่ไปยัง Aqaba แล้วลงระหว่างทาง
- จากเพตรา มีรถบัสตรงมายังวาดิรัม โดยออกจาก Petra Visitor Center ประมาณ 6.30 น. และรอบกลับมาเพตราจะออกจาก Wadi Rum Visitor Center ประมาณ 8-9.00 น. (ดังนั้นน่าจะต้องค้างคืน 1 คืนที่วาดิมรัม)
- แท็กซี่ ราคาประมาณ 30 JOD แล้วแต่ต่อรอง
วาดิรัม เป็นทะเลทรายที่มีชื่อเสียงว่าสวยที่หนึ่งของโลก อยู่ท่ามกลางหุบเขาหินทราย (sandstone) ทำให้ทรายมีสีออกแดง ต่างจากทะเลทรายที่อื่นๆ ที่เคยเห็น ฤดูร้อนอากาศร้อนมาก (มากๆๆ) ส่วนฤดูหนาวตอนกลางคืนก็หนาวเย็นมากเหมือนกัน ไม่ ควรมาช่วงฤดูร้อนคือปลาย พ.ค. ไปจนถึงปลาย ก.ย.
ที่นี่มีหลายจุดให้แวะเที่ยวหรือถ่ายรูป แต่ต้องมีไกด์นำ ถ้าซื้อทัวร์มา เขาจะติดต่อ local guide ให้ซึ่งเป็นชาวเบดูอิน (Bedouin) ชาวท้องถิ่นของที่นี่ แต่ถ้าไม่ได้มากับทัวร์สามารถติดต่อที่ Visitor Center ได้ครับ มีทั้ง Jeep tour และ Camel ride tour ให้เลือก ทั้งแบบ 4 ชั่วโมง, 6 ชั่วโมง หรือค้างคืน โดยเขาสามารถติดต่อที่พักให้ได้ด้วยครับ
หลังจากเจอกับไกด์ท้องถิ่นแล้ว เขาก็พาพวกเรานั่งรถเข้าสู่หุบเขาที่ปูไปด้วยทะเลทรายสีแดง
ที่นี่มี landmark หลายที่ครับตามแผนที่ด้านล่าง ซึ่งทัวร์แบบ 4-6 ชั่วโมงก็เพียงพอ
แค่นั่งรถเข้าเขตทะเลทรายมา ก็เห็นเวิ้งของทะเลทรายสีแดง บางช่วงก็สลับกับสีทรายเหลืองอ่อนและน้ำตาล อยู่ท่ามกลางภูเขารูปร่างแปลกๆ
Seven Pillars of Wisdom
อยู่ใกล้ๆ กับ Visitor Center ครับ ลองนับดูว่าครบ 7 แท่งหรือเปล่า
Lawrence’s Spring
T.E. Lawrence มีความสำคัญกับวาดิรัม เพราะเขาใช้ที่นี่เป็นฐานที่ตั้งร่วมกับชาวเบดูอินตอนสู้รบกับชาว Ottoman
Lawrence’s house
ถึงจะชื่อว่าเป็นบ้านของ Lawrence แต่ก็ไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่าเป็นบ้านของเขาจริงๆ หรือไม่ ตรงนี้ไม่มีอะไรให้ดูมากนักครับ แต่มีทางเดินไปใน Canyon เล็กๆ หรือปีนขึ้นไปดูวิวจากภูเขาด้านข้างได้ แต่ผมไม่ได้เดินไป
Red Sand Dunes (Umm Ishrin)
เป็นเนินทรายสีแดงสูง สามารถไต่ขึ้นไปดูวิวจากด้านบนได้ครับ แต่เหนื่อยมาก เพราะเดินบนทราย
คำเตือน ถ้าใส่รองเท้าแตะนี่จะเดินยากครับเพราะทรายร้อนมากๆ แต่ถ้าใส่ผ้าใบหุ้มส้นทรายจะเข้ารองเท้าปริมาณมหาศาล แต่แนะนำผ้าใบครับ ผมใส่รองเท้าแตะ เกือบไม่ได้ขึ้นแล้ว เท้าเกือบสุก ดีที่มีภูเขาหินด้านข้างให้เหยียบๆ ขึ้นไปได้บ้าง
Little Bridge
ชื่อว่า “Little” แต่สูงใช่ย่อยครับทำเอาขาสั่นตัวเกร็งตอนขึ้นไปข้างบน แต่ปีนขึ้นไม่ยากครับ
Jebel Umm Fruth (Middle Rock Bridge/Arch)
เป็นสะพานหินธรรมชาติอีกอันนึงของที่นี่ ที่วาดิรัมน่าจะมีสะพานแบบนี้ทั้งหมด 3 อัน นี่เป็นอันที่สูงปานกลางครับ สามารถปีนขึ้นได้ไม่ลำบากนักครับ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีก็ถึง
Jebel Burdah (Big Rock Bridge/Arch)
สะพานหินอันที่ 3 ซึ่งเป็นอันที่สูงที่สุด ไกด์ชี้ให้พวกเราดู ถ้าจะปีนขึ้นต้องใช้เวลา 4-6 ชั่วโมง เลยได้แต่ถ่ายรูปจากด้านล่างตอนนั่งรถผ่าน
Khaz’ali Canyon (Siq al-Khazali)
มีลักษณะเป็น Canyon แคบๆ ผนังเป็นริ้วๆ สีๆ สวยดีครับ น่าจะเกิดจากการกัดเซาะของแรงลมหรือพายุทรายมาเป็นหมื่นๆ แสนๆ ปี ที่ผนัง Canyon ยังมีภาพสลักของชาว Nabatean หลงเหลืออยู่เยอะเลย
Mushroom Rock หินรูปคล้ายเห็ด
ระหว่างทาง
ระหว่างทางวิวสวยดูเพลินครับ แต่ร้อนไปหน่อย เขาจะแวะให้ดูพวกของที่ระลึกและมีเลี้ยงน้ำชาของชาวเบดูอินด้วย รสชาติออกหวาน หอมอร่อยดี
นอนกินลมชมดาวในวาดิรัม
การค้างคืนที่นี่ จะเป็นเต้นท์ผ้าใบ (Bedouin Camp) ไม่มีแอร์ แต่อากาศกลางคืนเย็นอยู่แล้วครับ นอนสบาย ห้องน้ำรวม ได้กินอาหารเย็นแบบท้องถิ่น แคมป์นี้มีหลายที่ให้เลือก แต่ส่วนใหญ่ไกด์จะเป็นคนจัดการให้ (หรือถ้าจองที่พักออนไลน์ไปก่อน (เช่นจาก booking.com) แล้วก็ให้ไกด์เขาพาไปก็ได้ครับ) ราคา Jeep tour ที่พวกผมใช้บริาการจะรวมค่าไกด์ ค่ารถ ค่าที่พัก ค่าอาหาร 3 มื้อ (กลางวัน, เย็น และเช้า) ถ้าขี่อูฐต้องจ่ายเพิ่มครับ
มาถึงที่พักของพวกผม วิวดีทีเดียวครับ มีเนินเตี้ยๆ และภูเขาเป็นฉากหลังเวลาดูพระอาทิตย์ตกหรือถ่ายดาวตอนกลางคืน เสียดายที่ไม่รู้จักชื่อที่พักครับ ไม่งั้นจะได้แนะนำให้พักที่นี่
สถานที่กินข้าวเย็นอยู่ไม่ไกลจากที่พัก
เขาแสดงให้ดูวิธีทำไก่อบโดยวิธีของคนท้องถิ่น โดยการเอาไปฝังไว้ในทราย ซึ่งความร้อนจะทำให้มันสุก
สิ่งที่น่าทำถ้ามาค้างคืน คือถ่ายดาว ถ่ายทางช้างเผือกครับ น่าจะสวย…แต่จังหวะที่มาพระจันทร์กลมดิ๊กเลย สว่างจ้า ไม่เห็นดาว (เซ็ง) สรุปคือ ถ้าชอบถ่ายรูป อยากถ่ายดาว เลือกคืนเดือนมืดด้วยครับ
Dead Sea
วันรุ่งขึ้น มีรถมารับที่ Wadi Rum Visitor Center ครับ พากลับอัมมานโดยจะแวะที่ “ทะเลที่เค็มที่สุดในโลก” หรือ Dead Sea กันก่อน ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
Dead Sea เป็นจุดที่ตำ่ที่สุดในโลก คือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 410 เมตร เป็นตัวคั่นพรมแดนของจอร์แดนและอิสราเอลด้วย มีความเค็มมากกว่าทะเลทั่วไปถึง 10 เท่า คือมีความเข้มข้นของเกลือถึง 34% ทำให้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ จึงเป็นที่มาของชื่อว่าทะเลมรณะ ความยาวของ Dead Sea ประมาณ 50 กิโลเมตรและจุดที่กว้างที่สุดกว้างประมาณ 15 กิโลเมตร
ไกด์พาเรามาลงทะเลกันที่ Amman Beach ซึ่งเสียค่าเข้าคนละ 20 JOD (ตอนแรกนึกว่าฟรี ที่นี่ใช้ Jordan Pass ไม่ได้ครับ) คนไม่พลุกพล่านมากครับ มีห้องอาบน้ำและล็อคเกอร์ให้ แนะนำให้เตรียมรองเท้าแตะไปด้วยครับ เพราะทรายร้อนมาก ใช้รองเท้าผ้าใบก็เปียก เดินเท้าเปล่าก็ร้อนมาก (เน้นว่าทรายร้อนมากจริงๆ)
เพราะว่ามีความเข้มข้นของเกลือสูงจึงทำให้ลอยตัวได้อย่างง่ายดาย นำ้นี่เค็มมากๆ เค็มจนกลายเป็นขมเลยครับ ลุกขึ้นจากน้ำซักพัก ก็จะมีเม็ดเกลือติดตามตัวเหนอะหนะ
คำเตือน ห้ามดื่ม ห้ามกระโดด ห้ามสาดน้ำกัน (เพราะถ้าน้ำกระเด็นไปเข้าตาคนอื่นนี่อันตรายครับ) และอย่าดำน้ำหรือเอาหน้าจุ่มลงไปครับ (แบบรูปล่างนี่คิดผิดมากๆ 555) เพราะถึงจะหลับตาแต่พอลืมตามาก็ยังแสบตามากๆๆๆๆๆๆ และเป็นอันตรายได้ครับ
เขาว่ามาที่นี่ควรลองทาโคลนบำรุงผิวพรรณ 555 เสียเงินด้วยคนละ 3 JOD ลองทาๆ ดูก่อนนะครับ ว่าแพ้หรือเปล่า เห็นบอกบางคนแพ้ด้วย
Jerash
Jerash อยู่ทางตอนเหนือของอัมมาน ระยะทางประมาณ 48 กิโลเมตร เป็นเมืองโรมันเก่าของจอร์แดนที่ตอนนี้หลงเหลือเพียงซากปรักหักพังของวิหารและสถาปัตยกรรมแบบโรมัน ถูกค้นพบเมื่อไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมานี่เอง มีชื่อเรียกเล่นๆ อีกชื่อหนึ่งว่า “เมืองพันเสา” เพราะมีเสาจำนวนนับพันต้นในพื้นที่ขนาดใหญ่ ถ้าใครเคยไป Roman Forum ที่กรุงโรมของอิตาลีแล้ว ที่นี่ใหญ่กว่ามากครับ (และสวยกว่าด้วย)
จะเข้าทางประตูทางด้านทิศใต้ ซึ่งจุดแรกที่เจอคือ Hadrian’s Arch จากนั้นก็เดินยาวไปครับ จนถึง North Gate แล้วเดินย้อนกลับ ใช้เวลารวมๆ แบบเดินไม่รีบ น่าจะประมาณ 3 ชั่วโมงครับ
Hadrian’s Arch
ที่เห็นนี่เป็นซุ้มประตูที่ผ่านการบูรณะมาแล้วครับ
Hippodrome
เป็นเหมือนลานแสดงการแข่งขันอะไรซักอย่าง ขนาดไม่ใหญ่มากครับ จุคนได้ประมาณหมื่นคน
South Gate
South Theater และ Temple of Zeus
Oval Plaza และ Colonnade street
เป็นจตุรัสรูปวงรี รายล้อมไปด้วยเสาหิน และต่อไปกับทางเดินหลักของเมือง
The Cathedral
The South Tetrapylon
Nymphaeum
เป็นน้ำพุหลักของเมือง รูปมุมกว้างถ่ายมาแต่ไม่ชัดครับ เลยเอาจากอินเตอร์เนตมาให้ได้ดูกัน
Temple of Artemis
North Theater
North Gate
วิวตลอดทางเดินจะเป็นร่องรอยของสิ่งก่อสร้างเดิมๆ มีบางส่วนที่ถูกบูรณะไว้ โดยมีฉากหลังเป็นเมืองสมัยใหม่
The Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติและสิ่งของที่ถูกขุดค้นพบที่นี่ พิพิธภัณฑ์นี้อยู่ตรงใกล้ๆ กับ South Gate ตรง Visitor Center ครับ
Amman
เป็นเมืองหลวงของจอร์แดน รถราเยอะ และติดด้วยครับ ผมอยู่เมืองนี้ไม่นานนัก ได้เดินตรงถนนกลางเมืองที่เป็นแหล่งช้อปปิ้ง มีของที่ระลึกขายมากมายครับ เดินเพลินๆ
ยังมีจุด landmark ที่สำคัญ เช่น Roman Theater และ Amman Citadel
Roman Theater
อยู่กลางเมืองเลย เป็นที่พักผ่อนของชาวเมือง ที่นี่สร้างโดยการสลักเข้าไปในภูเขา เชื่อว่าสร้างในศตวรรษที่ 2 แต่ลักษณะที่เห็นในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่เป็นของใหม่ซึ่งถูกบูรณะขึ้นในปี 1957 ครับ
Amman Citadel
สร้างอยู่บนเนินเขา Jebel al-Qala’a ซึ่งสูงที่สุดในอัมมาน ถูกสร้างเพิ่มเติมมาเรื่อยๆ ในหลายยุคหลายสมัยน่าจะเริ่มตั้งแต่ 8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชในยุคของ Neolithic Period แต่วิหารที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดของที่นี่ คือ Temple of Hercules ซึ่งสร้างในยุคโรมัน (100 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ที่นี่มีหลายส่วนให้เดินดูครับ ทั้งตัววิหารใหญ่ คือ Temple of Hercules และซากปรักหักพัง รวมถึงสิ่งของต่างๆ ที่ถูกขุดค้นพบก็รวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ด้วย
Temple of Hercules
สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 162-166 ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่กว่าวิหารทั้งหลายในกรุงโรมเสียอีก แต่จากหลักฐานที่ขุดพบเชื่อว่าวิหารนี้ยังสร้างไม่เสร็จ ตอนนี้เหลือแต่ซากปรักหักพังและเสาขนาดใหญ่ 2 ต้นทางด้านหน้า
Hand of Hercules
เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของรูปสลักขนาดยักษ์ของ Hercules ซึ่งสันนิษฐานกันว่าอาจพังลงจากแผ่นดินไหว ลองดูจากขนาดเศษเสี้ยวของมือแล้ว รูปสลักทั้งตัวเขาคาดว่าจะสูงถึง 13 เมตรเลย เสียดายที่ไม่เหลือให้ได้เห็นแล้ว ในรูปเป็นส่วนของมือ และข้อศอกที่เหลืออยู่
รอบๆ วิหารก็จะมีชิ้นส่วนของวิหารที่ยังหลงเหลืออยู่วางไว้ให้ได้ชมกัน
Early Bronze Age Cave
เป็นสุสานท่ีอยู่ใกล้ๆ กับ Temple of Hercules ซึ่งเชื่อว่าสร้างในยุค Bronze Age (1,650-1,550 ก่อนคริสต์ศักราช)
Umayyad Palace
ของเดิมพังไปเพราะแผ่นดินไหว และมีแค่บางส่วนที่ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่แบบที่เห็นในปัจจุบัน
National Archaeological Museum
ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 จัดแสดงสิ่งของต่างๆ ที่ถูกค้นพบที่นี่
จอร์แดนเป็นประเทศที่มีอะไรให้ดูและเรียนรู้เยอะครับ ผิดคาดกับที่คาดไว้ก่อนมา แต่ผมยังชอบอียิปต์มากกว่าครับ เพราะประวัติศาสตร์มันเป็นเอกลักษณ์มาก แต่ถ้ามีโอกาสก็ไม่ควรพลาดจะแวะมาครับ อยู่ใกล้ๆ กัน ปลอดภัย เดินทางสะดวกครับ แต่ค่าครองชีพออกจะแพงกว่าอียิปต์ไปซักหน่อย
This is actually useful, thanks.