10 จุดต้องแวะบนถนนเลียบมหาสมุทรแปซิฟิค “Highway 1”

ช่วยไลค์ช่วยแชร์ครับ

 

 

ถามถึงถนนเลียบชายฝั่งที่สวยที่สุดในโลก คงมีหลายเส้นทางที่เรานึกถึงกัน แต่มั่นใจได้เลยว่า “Highway 1” หรือ Pacific Coast Highway ต้องติดโผแน่นอน

 

วิวทิวทัศน์ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคตามถนนที่เราจะไปนี้ ในแต่ละวันภาพที่เห็นอาจไม่เหมือนกันเลย บางทีต้องลุ้นว่าจะมีหมอกบังทุกอย่างทำให้ไม่เห็นวิวอะไรเลยหรือเปล่า เหมือนไปซานฟรานแล้วบางทีอาจมองไม่เห็น Golden Gate Bridge หรือไปญี่ปุ่นแล้วอาจไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิอะไรประมาณนั้น

ในวันที่มีหมอกจะเห็นวิวแบบรูปล่าง (หรือไม่เห็นอะไรเลย…)

Highway 1 นี่จริงๆ แล้วยาวตั้งแต่ US Highway 101 แถว Mendocino County ลงไปจนถึง Orange County ซึ่งอยู่ทางใต้ของลอสแองเจลลิส  แต่ส่วนที่เป็น scenic route ที่มีชื่อเสียง คือ ตั้งแต่ Carmel-By-The-Sea ลงไปจนถึง San Luis Obispo เส้นทางที่แนะนำคือ เริ่มจากซานฟรานซิสโกแล้วขับไล่ลงมาเรื่อยๆ ตามแผนที่ด้านล่างครับ

 

 

Tip: ถ้าออกเดินทางจากซานฟรานซิสโก อาจเข้า Highway 1 ได้ตั้งแต่ช่วง Pigeon Point Lighthouse และ Half Moon Bay แต่ก็จะอ้อมนิดหน่อย และความเห็นส่วนตัวผมว่าวิวทะเลแถวนี้ไม่ได้สวยเท่าไร ผมเลยมักจะแนะนำให้ตรงไปเริ่มที่ Monterey เลยดีกว่าไปกว่า

ถนนเส้นนี้นอกจากจะสวยงามขึ้นชื่อแล้ว ยังมีชื่อเป็นถนนเส้นที่ค่อนข้างอันตราย คงเพราะเป็นถนนสองเลน รถวิ่งสวนกัน และบางช่วงโดยเฉพาะช่วงตั้งแต่ Big Sur จนถึง San Luis Obispo จะคดเคี้ยวมีโค้งเยอะหน่อยและบางช่วงติดขอบหน้าผา (แต่ก็มีรั้วเตี้ยๆ กั้นให้นะครับ) แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้ขับยากอะไรและรถก็ไม่ได้เยอะมากด้วยเพราะไม่ใช่ถนนเส้นหลัก (แต่อาจต้องเตรียมยาแก้เมารถให้เพื่อนร่วมทริปไว้หน่อย ผมขับเองยังมึนๆ เลย)

1-Pigeon Point Lighthouse

แถวนี้ไม่ค่อยมีอะไรครับ มีแต่จุดนั่งปิคนิคพักผ่อน แล้วก็มีวิวด้านล่าง…แค่นั้น

2-Monterey

จากจุดด้านบนสามารถขับต่อลงมาเรื่อยๆ จะผ่าน Santa Cruz ซึ่งเป็นเมืองพักผ่อนที่มีชื่อเสียงแถวนี้อีกเมืองหนึ่ง คนนิยมมาเล่นกระดานโต้คลื่นที่นี่ แต่ผมไม่ได้แวะ และขับเลยมา Monterey เลย

Monterey เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางใต้ของ Monterey Bay ที่นี่มีที่เที่ยวที่สำคัญคือ Fisherman’s wharf และ Monterey bay aquarium สำหรับที่ Fisherman’s wharf จะมีกิจกรรมอย่างหนึ่งคือการล่องเรือดูปลาวาฬ อันนี้ยังไม่เคยไปครับ ส่วน Aquarium ของที่นี่มีชื่อเสียงมาก แต่ค่าเข้าค่อนข้างแพงทีเดียว คือ ประมาณ 39$ (ราคาปี 2014)

ที่ชายฝั่งจะมีร้านอาหารและร้านค้าให้เดินเล่นมากมาย ส่วนใหญ่ผมจะแวะที่นี่เพื่อพักทานอาหารกลางวัน

Aquarium ที่นี่ใหญ่พอสมควรครับ (แต่ค่าเข้าดูแพงไปซักนิด)

ปลาแสงอาทิตย์ หรือ โมลา โมล่า ปลาดึกดำบรรพ์รูปร่างประหลาด ผมเพิ่งเคยเห็นที่นี่ครั้งแรก

3-Pebble Beach และ 17-Mile Drive

จาก Monterey ก่อนที่เราจะถึงเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงอีกเมืองซึ่งก็คือ Carmel-By-The-Sea จะมีถนนที่เป็น scenic road เส้นหนึ่ง (เส้นสีน้ำตาลในรูปด้านล่าง) คือ 17-Mile Drive เลียบไปตาม Pebble beach และ Pacific grove สำหรับคนที่ไม่มีเวลาจะขับลงไปไกลกว่านี้ สามารถแวะดูวิวชายฝั่งแปซิฟิคจากที่นี่ก็ได้ แต่เสียค่าเข้าประมาณ 10$ ที่นี่มีหลายประตูทางเข้า แล้วแต่ว่าวิ่งมาจากไหน ตามแผนที่ข้างล่างครับ

ความเห็นส่วนตัว ถ้าจะขับรถไปตาม Highway 1 ด้านใต้อยู่แล้ว อาจข้ามที่นี่ไปก็ได้ครับ ผมว่าวิวทางใต้สวยมากกว่า

รูปบนคือ Lone Cypress จุดถ่ายรูป landmark ของที่นี่ (สวยตรงไหน (ฮา) อาจเป็นเพราะมีต้น Monterey Cypress ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวบนเนินเขาหิน)

4-Carmel-By-The-Sea

เมืองตากอากาศเล็กๆ ชื่อ Carmel-By-The-Sea หรือเรียกสั้นๆ ว่า Carmel อยู่ในเขตของ Monterey County เช่นกัน ที่นี่ก็เป็นอีกที่ที่แวะเดินเล่นได้ ในเมืองมีร้านเล็กๆ น่ารักๆ ร้านอาหารพอสมควร และชายหาดยังเป็นที่นิยมในการมาพักผ่อนและเล่นน้ำแต่คลื่นค่อนข้างแรงโดยเฉพาะฤดูหนาว และบางจุดมีหินเยอะ ทำให้มีกิจกรรมทางน้ำไม่มากเท่าแถบ Santa Cruz เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็น dog friendly city อีกเมืองนึง ดังนั้นจะเห็นคนพาสุนัขมาวิ่งเล่นเต็มหาดไปหมด เห็นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้

5-Garrapata State Park

ถัดลงไปจาก Carmel ประมาณ 6.7 mile ก็จะถึง Garrapata State Park จะมีความยาวตามชายหาดประมาณ 2 ไมล์ มีจุดชมวิวให้จอดรถและเดินลงไปยังชายหาดได้

ในฤดูใบไม้ผลิประมาณเดือน มีนาคม-กรกฎาคม จะมีวิวนึงที่คนถ่ายรูปชอบมาถ่าย โดยเฉพาะเวลาพระอาทิตย์ตก คือมุมที่เห็นดอก Calla Lilies บานเป็นแถวยาวออกไปทางชายหาด สามารถมาจุดนี้ได้ตรงทางเดินที่ลงไปยังชายหาด Garrapata Beach (Gate 19) (จะเห็นรถจอดเยอะๆ ข้างทาง) ลงบันไดแล้วเดินตามชายหาดไปทางเหนือ จะเห็นร่องน้ำตื้นๆ ที่มีน้ำไหลลงมายังทะเล แล้วเดินย้อนตามขึ้นไปก็จะเจอ หรืออาจเดินมาจากทางด้านบนก็ได้ครับทาง Gate 18 แต่ป้ายเล็กมากๆๆ

ดอก Calla Lilies (รูปนี้ถ่ายตอนเดือนเมษายน)

6-Bixby Creek Bridge

ขับต่อลงมาอีกหน่อยก่อนจะถึง Bixby Bridge สะพานที่เห็นได้ตามโปสการ์ดและเป็น landmark อีกจุดหนึ่งของถนนเส้นนี้ เราก็จะเจอสะพาน Rocky Creek Bridge ก่อน

Rocky Creek Bridge

ขับต่อมานิดเดียวก็จะเจอสะพาน Bixby Bridge ซึ่งแสดงว่าเราเริ่มเข้าสู่เขตของ Big Sur แล้ว (อยู่ห่างจาก Carmel ลงมาประมาณ 13 ไมล์)

Bixby Bridge

มากันเป็นคู่ก็โรแมนติคดีนะครับ เป็นที่ที่สร้างความทรงจำดีๆ ได้มากมายทีเดียว

ดอก California poppy (ถ่ายช่วงเดือนเมษายน ดอกไม้ข้างทางกำลังบานสะพรั่ง)

7-Pfiffer Beach

จากจุดด้านบนไปเราก็เข้าเขต Big Sur ละครับ คำว่า “Big Sur” แรกๆ ก็งงๆ ว่าตกลงเป็นเมืองหรืออะไร แต่จากวิกิฯบอกไว้ว่าเป็นเหมือนบริเวณหนึ่งในแถบ Central coast ซึ่งไม่มีขอบเขตชัดเจน แต่กินระยะทางประมาณ 90 ไมล์ตั้งแต่ Carmel river ลงมา

จาก Bixby bridge ขับลงไปเรื่อยๆ ไปจนถึงทางเข้าของ Pfeiffer beach ที่นี่ก็เป็นที่พักผ่อน อาบแดดที่เงียบสงบพอสมควร ถ้าชอบถ่ายรูป แนะนำมาแวะตอนพระอาทิตย์ตกดินเพราะจะเห็นลำแสงสุดท้ายของวันลอดผ่านช่องหินในรูปด้านล่างออกมา แต่ผมไม่เคยมาตอนเย็นเลย เพราะมันจะไปไม่ทันดูวิวที่ McWay Fall และไม่อยากขับรถตอนกลางคืน

มาตอนบ่ายๆ ย้อนแสงเต็มๆ

มาเก็บภาพตอนแสงเย็นจะได้แบบรูปล่าง…สวยมาก

8-McWay Falls

น้ำตกนี้อยู่ในบริเวณของ Julia Pfeiffer State Park เป็นน้ำตกที่ตกลงมาที่ชายหาดลงสูมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งใน North America นี้มีน้ำตกเพียง 5 ที่เท่านั้นที่ตกลงมายังมหาสมุทร

สามารถจอดรถได้ในตัวอุทยานแล้วเดินมาตาม Waterfall overlook trail หรือจอดริมถนน (แต่ต้องระวังหน่อยครับเพราะแคบแต่จอดฟรี) แล้วเดินตามทางเดินลงไปยังจุดชมวิว

Waterfall overlook trail เดินจากจุดจอดรถใน Julia Pfeiffer State Park ผ่านอุโมงค์

ที่จุดสิ้นสุดของ trail จะเป็นซากบ้านพักของเจ้าของพื้นที่เดิมที่นี่

วิวน้ำตก (ถ้ามาช่วงบ่ายแก่ๆ ถ่ายรูปจะย้อนแสงนะครับ)

วิวตอนพระอาทิตย์ตก

 

ปกติแล้วพอมาถึง McWay Falls นี้ก็จะเย็นย่ำคำ่มืดพอดี หลายคนอาจจบ day trip กันที่นี่แล้ววกกลับไปซานฟรานเลย  แต่ถ้ามีเวลาแนะนำให้เลยลงไปพักแถว San Simeon เลย และจะได้เที่ยวจุดที่ 9 และ 10 ด้านล่างได้ต่อในวันรุ่งขึ้น

9-Elephant Seal Vista Point

จุดชมวิว Elephant seal (แมวน้ำช้าง) หรือ Piedras Blancas Rookery อยู่ก่อนถึง Hearst Castle เล็กน้อย มีแมวน้ำช้างจำนวนมากนอนก่ายกันไปมา อาจได้เห็นการต่อสู้ของตัวผู้ด้วยครับ หรือไม่ก็เห็นร่องรอยการต่อสู้ตามใบหน้าของเหล่าตัวผู้เหมือนเพิ่งผ่านศึกสงครามมาดูน่ากลัวพิลึก

ตัวผู้ จะมีงวงคล้ายๆ ช้าง
เด็กน้อย

10-Hearst Castle

การมาเที่ยวที่ปราสาทนี้ต้อง จองทัวร์ เพื่อเข้าชม ซึ่งจะแบ่งเป็นสามทัวร์หลักๆ คือ Grand rooms tour, Upstairs Suites tour และ Cottages and Kitchen tour ทัวร์ละ 25 $ (ราคาปี 2014) ใช้เวลาทัวร์ละประมาณ 45 นาที สำหรับคนที่เคยมาครั้งแรกหรือจะมาครั้งเดียว ควรเลือก Grand rooms tour ครับเพราะเป็นจุดหลักๆ ของปราสาท

แนะนำให้จอง ออนไลน์ ไปก่อนครับ แต่จะกะเวลาให้ตรงกับที่เราจะมาถึงยากหน่อยนอกจากจะพักใกล้ๆ แล้วมาที่นี่เป็นที่แรกก็เลือกรอบเช้าๆ เลย แต่ก็ไปซื้อหน้างานได้นะครับ แต่ก็ต้องลุ้นว่าจะมีรอบเวลาใกล้ๆ ไหมถ้าเต็มก็ต้องรอรอบถัดไป

ปราสาทนี้อยู่ในเขตของ San Simeon อยู่บนพื้นที่ของนาย William Randolph Hearst มหาเศรษฐีนักหนังสือพิมพ์ ผู้ผลิตภาพยนตร์และนักสะสมงานศิลปะ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแห่งนี้ตั้งแต่ปี 1919 และมีสถาปนิกผู้ออกแบบคือ Julia Morgan

ตัวปราสาทใช้เวลาสร้างนานมากเพราะ Hearst มีการเปลี่ยนแบบตลอดเวลา จนเมื่อเขาเสียชีวิตในปี 1951 ปราสาทก็ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ระหว่างที่ Hearst ยังมีชีวิตอยู่ ปราสาทแห่งนี้มักถูกใช้เป็นที่จัดงานสังสรรค์ของกลุ่มคนมีชื่อเสียงทั้งนักการเมืองและดาราฮอลลิวู้ดอยู่เป็นประจำ ในตัวปราสาทตกแต่งอย่างหรูหรา มีห้องต่างๆ กว่าร้อยห้อง มีสระว่ายน้ำภายนอกและภายใน สนามเทนนิส หรือแม้กระทั่งโรงหนังเล็กๆ ปัจจุบันปราสาทนี้ตกเป็นของรัฐ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอย่างที่เราได้มากัน ผมได้มาทั้งหมดสองทัวร์ ครั้งแรกที่มาคือ Grand rooms tour และอีกครั้งได้จองเป็น Upstairs Suites tour ไป ส่วน Cottages and kitchen ไม่เคยไปครับ

การมาที่นี่ก็ขับรถมาจอดที่ Visitor center และไปรับตั๋ว พอถึงรอบเวลาเราต้องขึ้นรถบัสต่อไปยังปราสาทซึ่งอยู่บนภูเขาด้วยระยะทางประมาณ 5 ไมล์

วิวปราสาทบนยอดเขามองจาก Visitor center วิวราวกับปราสาทในเทพนิยาย

 

เส้นทางรถบัสจาก Visitor center ขึ้นไปยังตัวปราสาท

ด้านหน้าของปราสาท

รอบๆ มีสวนสวยงาม มีรูปปั้นคลาสสิคมากมาย และยังได้ชมวิวในมุมสูงโดยรอบด้วยครับ

สระว่ายน้ำสุดอลังการของที่นี่ (Neptune Pool) แต่ผมมาสองรอบก็ดันปิดซ่อมทั้งสองรอบ สระนี้ได้เป็นฉากในการถ่ายทำ MV ของ Lady Gaga ด้วย

Grand rooms tour

เป็นทัวร์ห้องหลักๆ ของบ้านที่ใช้ต้อนรับแขกและปาร์ตี้ และได้ดูหนังสั้นๆ เกี่ยวกับบ้านหลังนี้ตอนท้ายทัวร์ด้วย ทัวร์นี้จะอยู่ชั้นล่างของบ้าน คนที่ใช้รถเข็นสามารถเข้าทัวร์ได้

 

Indoor Pool (Roman Pool)

สวยงามอลังการเป็นที่สุด

 

Upstairs Suites tour

จะเป็นทัวร์ที่พาไปส่วนของห้องนอน ห้องสมุด และห้องทำงาน สวยแม้กระทั่งฝ้าเพดาน

ห้องนอนท่าน Hearst

ห้องสมุดและห้องทำงาน

จาก Hearst Castle ถ้าจะกลับซานฟราน ก็ไม่ต้องขับย้อนทางเดิมก็ได้ สามารถเบี่ยงเข้าเส้น US Highway 101 ได้เลยซึ่งใช้เวลาน้อยกว่า และแวะ Outlet ช้อปปิ้งได้ด้วย แต่ถ้าเลือกจะไปต่อ ก็สามารถลงต่อไปยังเมืองเล็กๆ น่ารัก 2 เมืองก่อนจะถึงลอสแองเจลิส ก็คือเมือง Solvang และ Santa Barbara ครับ

 

 

 

About Breathe My World 29 Articles
A man who love travelling the world.