Go! Norway (Ep.3 ไม่ไปออสโลแล้วจะไปไหนกันดี)

ช่วยไลค์ช่วยแชร์ครับ

นับเป็น Ep.3 เพราะเป็นการเดินทางต่อมาจาก Lofoten ครับ ที่นอร์เวย์ยังมีเมืองยอดนิยมอื่นๆ ด้วย ซึ่งแน่นอนสำหรับพวกไม่ชอบเที่ยวเมืองหลวง ผมเลยไม่ได้เที่ยว Oslo เลย แล้วจะไปไหนกันบ้างไปตามดูกันเลยครับ

บทความเกี่ยวข้องอื่นๆ ตามที่ลิงค์ด้านล่างเลยครับ

  • Ep. 1 ทิปการตามหาแสงเหนือ >>> Click!
  • Ep. 2 เกาะในฝัน สวรรค์บนดิน >>> Click!
  • Ep. 3 มานอร์เวย์ไม่ไปออสโลแล้วจะไปไหนดี >>> You are here!

 

ทริปนี้ไปไหนกันบ้าง

  1. Lofoten อ่านความเดิม >>> ตามอ่าน Ep. 1 ทิปการตามหาแสงเหนือ และ Ep. 2 เกาะในฝัน สวรรค์บนดิน
  2. Tromso จาก Lofoten เราบินมาต่อกันที่เมืองหลวงแห่งแสงเหนือ นั่นก็คือ Tromso ครับ ที่มาเมืองนี้เพราะเผื่อไว้ ถ้าโชคไม่ดีไม่เห็นแสงเหนือที่ Lofoten ก็จะได้มาเห็นที่เมืองนี้ แต่ๆๆๆ เสียดายที่เราไม่เห็นครับ เพราะเมฆแผ่เต็มท้องฟ้าทั้ง 2 คืนที่พักที่นี่เลย เลยได้แต่เที่ยวในเมืองเล่นๆ ไป
  3. Bergen และ Flam ~ ตอนวางแผนมา Lofoten แรกๆ ไม่ได้รวมสองเมืองนี้ไว้ในแผนเลย ไปๆ มาๆ ไม่รู้รวมเข้ามาด้วยได้ไง ได้ยินสองเมืองนี้มาจากการเดินทางที่เขาเรียกว่า “Norway in a Nutshell” ซึ่งเป็นการเดินทางจาก Oslo ด้วยรถไฟไปสิ้นสุดที่ Bergen และมีการล่องเรือชม fjord อันสวยงามด้วย และส่วนหนึ่งเส้นทางรถไฟสายนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วย รูปล่างเป็นตัวอย่างเส้นทางที่นักท่องเที่ยวนิยมกัน แต่ยังมีอีกหลาย route ครับ ถ้าสนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ลิงค์นี้ ครับ
ตัวอย่าง route หนึ่งของ Norway in a Nutshell

 

การเดินทาง

สามารถดาวน์โหลดแผนการเดินทางทั้งหมดตั้งแต่ Lofoten ได้ ที่นี่ ครับ

  1. Lofoten – Tromso โดยเครื่องบินภายในประเทศ (Wideroe)
  2. Tromso – Bergen โดยเครื่องบินภายในประเทศ (Wideroe)
  3. Bergen – Flam โดยรถบัส (Nettbuss) จริงๆ จะเลือกรถไฟแบบ Norway in a Nutshell ก็ได้ครับ แต่มันต้อง transfer 1 เที่ยว ส่วนรถบัสนี่ direct ถึงเลยและราคาก็ถูกกว่าด้วย อีกทั้งวิวที่เขาว่านั่งรถไฟแล้วสวยสุดๆ นั้น ก็ไม่ใช่ระหว่างเมืองนี้ ผมเลยเลือกนั่งรถบัสแทน (แต่เอาเข้าจริงได้ดูวิวจากรถบัสแล้ว ก็ยังคิดว่าถ้านั่งรถไฟมันก็ต้องสวยมากอยู่ดี)
  4. Flam – Oslo โดยรถไฟครับ เริ่มกันด้วยรถไฟสายที่มีชื่อเสียงของที่นี่เพราะเขาว่าวิวสวยที่สุด ชื่อว่า “Flamsbana” ไปลงที่ Myrdal และต่อรถไฟอีกเที่ยวไปยัง Oslo เพื่อรอกลับประเทศไทย เป็นอันจบทริป 10 วันครับ

แนะนำที่พัก

Tromso 

  • ผมพักที่นี่ 2 คืน เลือกในตัวเมือง ซึ่งโรงแรมแพงมาก เลยเลือกที่ราคาย่อมเยาหน่อย คือ Enter City Hotel คุณภาพก็ตามราคาครับ ที่จองที่นี่เพราะตอนแรกคิดว่าจะไม่ขับรถและอาจจะซื้อทัวร์แสงเหนือกัน ซึ่งโรงแรมนี้จะอยู่ใกล้กับโรงแรม Radisson Blu Hotel ที่เป็นจุดนัดพบของบรรดาทัวร์แสงเหนือส่วนใหญ่
  • ถ้าขับรถ แนะนำให้หาที่พักนอกเมืองหน่อยน่าจะดี ลองหารีวิวที่เขาพักกันบางที่เห็นแสงเหนือหน้าบ้านได้เลย ถ้าจะให้แนะนำ ผมว่าเลือกแบบ Airbnb จะดี เพราะ host เขาน่าจะแนะนำเราเรื่องทำเลและเวลาการดูแสงเหนือได้ด้วย หรือจะลองหา facebook ทัวร์ของคนไทยที่อยู่ที่นู่นก็ได้ครับ มีทั้งที่พักและทัวร์แสงเหนือด้วย

Bergen

  • ที่พักในเมืองหรือใกล้ Bryggen ก็แพงเหมือนกัน แต่บังเอิญเจอที่นี่จาก booking.com พอดี เป็นห้องแบบอพาร์ตเม้นท์ 3 ห้องนอน ราคาหลักหมื่นต้นๆ แต่วิวหลักล้าน อุปกรณ์ใช้สอยครบ ซักผ้าอบผ้าได้ด้วย เจ้าของใจดีและอัธยาศัยดีมาก ชื่อใน booking คือ Apartment with beautiful view to Bryggen (คิดชื่อให้สั้นๆ หน่อยก็ไม่ได้ (ฮา) แต่ชื่อนี้ก็สมราคาคุยครับ สวยจริง)
Apartment with beautiful view to Bryggen
วิวจากห้องพัก

Flam

  • พักที่ Flamsbrygga Hotel วิวดี ทำเลดี เดินไม่ไกลจากสถานีรถไฟและท่าเรือ ราคาปานกลาง มีอาหารเช้า (ดีงาม) ให้ด้วย
  • จองจาก booking.com ได้ แต่แนะนำให้ลองเข้าไปเช็คในเวบของโรงแรมด้วยครับ บางทีมันถูกกว่า (ลิงค์)
Flamsbrygga Hotel

วิวจากห้องพัก

 

Tromso

  • เรียกกันตรงตัวว่า “ทรอมโซ” แต่จริงๆ เขาอ่าน “ทรุมเซอ” แต่จะอ่านยังไงเขาก็เข้าใจครับ
  • ถามว่าที่นี่เที่ยวอะไรได้บ้าง จริงๆ ผมก็อยู่แค่วันเดียวเต็มๆ กะอีกสองคืนที่ฟ้าปิด เลยไม่ค่อยได้ไปไหนมากมาย 
    1. ดูแสงเหนือ นี่คงเป็นกิจกรรมหลักๆ ของนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ เพราะถือว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการดูแสงเหนือเลย Kp 1-2 ก็ยังเห็นสบายๆ (ถ้าอากาศเป็นใจ) แถมยังเห็นเหนือเมืองอีกด้วย จะเช่ารถขับก็ได้ แต่เขาก็นิยมหาทัวร์พาไปกัน มีให้เลือกเยอะเลยครับ มีทั้งของคนไทยที่อยู่ที่นั่น หรือ local tour อื่นๆ ถ้าเน้นเที่ยวในเมือง ช้อปปิ้ง และค่อยออกดูแสงเหนือกลางคืน และไม่ได้ไปเมืองไหนอีกที่ต้องขับรถ แนะนำหาทัวร์แสงเหนือครับ เพราะที่เที่ยวในเมืองนี่เดินถึงกันสบายๆ หรือนั่งรถเมล์ก็สะดวกดี
    2. สุนัขหรือกวางลากเลื่อน (ราคาก็แพงเอาเรื่องพอดู)
    3. Snowmobile
    4. เที่ยวชมเมืองและช้อปปิ้ง ร้านค้าเยอะแยะ ที่เที่ยวหลักๆ มีไม่กี่ที่ เดินถึงกันได้สบาย
  • เสียดายที่ผมไม่ได้เห็นแสงเหนือที่นี่เพราะฟ้าปิด เลยเอารูปของคนอื่นมาให้ดูกันครับ (เครดิตตามลายน้ำในรูป) ฟ้าเปิดนี่สามารถเห็นได้เหนือตัวเมืองเลย สวยจริงๆ

 

Arctic Cathedral

  • เป็นโบสถ์ที่ดูไม่รู้ว่าเป็นโบสถ์ สถาปัตยกรรมดูทันสมัยมาก อยู่อีกฝั่งแม่น้ำของตัวเมือง Tromso จะเดินข้ามสะพานมาหรือนั่งรถเมล์มาก็ได้
  • เดินเล่นรอบนอกจะเห็นวิวฝั่งเมืองได้ ถึงจะเป็นมุมไม่สูงแต่ก็สวยมาก จากตัวโบสถ์ก็สามารถเดินต่อไปบนสะพานได้ครับ ถ่ายย้อนกลับมาก็ได้โบสถ์มุมกว้าง
  • ภายในก็เหมือนโบสถ์ทั่วไป แต่พิเศษตรงที่กระจกโมเสคสีสันสวยงาม (เสียค่าเข้าครับ ถามว่าไม่เข้าได้ไหม…ได้ครับ 555)

วิวโบสถ์ถ่ายย้อนมาจากสะพาน

วิวกลางคืนถ่ายจากฝั่งเมือง

วิวเมืองมองจากโบสถ์

บ้านเรือนรอบๆ โบสถ์

มองไปทางอีกฝั่ง เป็นทะเลเวิ้งว้าง มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะขาวโพลน

Fjellheisen (cable car)

  • ขึ้นได้เป็นรอบๆ ทุกครึ่งชั่วโมง ราคา 210 NOK ต่อคน
  • ถามว่า สวยไหม…สวย ถามว่า คุ้มไหม…(ผมว่า) ก็คุ้มนะ (มาเที่ยวกันครั้งเดียว ตอนไปเสียดายเงิน แต่ถ้าไม่ขึ้นกลับไทยมาจะเสียดายประสบการณ์)
  • ฤดูหนาวเขาปิดห้าทุ่ม ถ้าฟ้าเปิด Kp ดีๆ น่าจะขึ้นมาถ่ายแสงเหนือเหนือเมืองได้

หนาวและลมแรงมาก แต่วิวหิมะขาวโพลนนี่สวยสุดขีด

มี trail ให้เดินต่อไปด้วย แต่…ไม่ไหวหนาวเกิ๊นน

ที่เห็นหิมะฟุ้งๆ นี่เพราะลมแรงมากๆๆ

ตัวเมือง

ในเมืองเนี่ยเดินเที่ยวถึงกันได้หมด จุดหลักๆ ก็ตามแผนที่ด้านล่าง มีพิพิธภัณฑ์น่าสนใจหลายที่อย่าง Polar museum ที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตฤดูหนาว และแสงเหนือ (น่าดูมาก แต่เสียดายไม่ได้เข้า) และสามารถเดินข้ามสะพานไป Arctic Cathedral และ cable car ได้ แต่ถ้าขี้เกียจเดินก็มีรถเมล์ครับ  หรือถ้าจะเข้าสถานที่ต่างๆ ก็มี pass ให้เหมือนกัน หาข้อมูลได้ที่ information ที่สนามบินได้ครับ

รอบนอก Tromso

จริงๆ ก็ไม่รู้เลยว่ารอบนอกมีอะไรให้เที่ยวบ้าง แต่เราได้ตัดสินใจเช่ารถขับ 1 วันไว้เผื่อออกหาแสงเหนือตอนกลางคืน พอเดินเที่ยวในเมืองกันเสร็จก็เลยหาจุดชมวิวอื่นๆ รอบนอกเมือง ซึ่งก็เจออยู่ 2 ที่ที่น่าสนใจและไม่ไกล คือ Skulsfjord และ Ersfjordbotn ทั้งสองจุดนี้เขาก็นิยมไปดูแสงเหนือกันด้วยครับ

Skulsfjord

เลือกที่จะมาที่นี่กลางวัน แล้วเก็บ Ersfjordbotn ไว้ไปดูแสงเหนือกลางคืน โชคดีมากที่ตัดสินใจแบบนั้น เพราะถนนเส้นที่ไป Skulfjord จะแคบและขับยากกว่า Ersfjordbotn ครับ สุดท้ายผมขับไปไม่ถึงปลายทาง เพราะหิมะตก ลมแรง ขับไปขับมา ดันขับไปบนกองหิมะที่ลมพัดมาตกอยู่กลางถนน แล้วทันใดนั้นรถก็เป๋เข้าข้างทางอีกฝั่ง (โชคดีที่ไม่มีรถสวนและ…ไม่เป๋ตกเหวไป) เลยขวัญเสีย ขอไม่ไปต่อ แต่ก็ได้วิว fjord ไกลๆ มาเชยชม นี่ถ้าตัดสินใจขับกันมาดูแสงเหนือกลางคืน คงน่ากลัวมาก

อันนี้วิวงามๆ เอามาจากอินเตอร์เนตให้ดูกันครับ

Skulsfjord

ขับฝ่าทั้งลมทั้งหิมะตก น่ากลัว เลยขอย้อนกลับก่อน (ใจไม่กล้าพอ)

อันนี้วิวของจริงแลกมาด้วยความระทึก ถ่ายตอนนั่งตั้งสติหลังจากรถเป๋มาหยุดที่ข้างทาง ถ้าไปถึงน่าจะสวยมากๆ

 

Ersfjordbotn

ตอนแรกกล้าๆ กลัวๆ ว่าจะไปที่นี่กลางคืนดีไหมเพื่อดูแสงเหนือ (ที่ความหวังริบหรี่มากเพราะเมฆเต็มท้องฟ้าเลย) แต่ในที่สุดก็ตกลงไปกัน (โดยผมไม่ขับรถแล้ว กลัว…) ปรากฏว่าถนนดีครับเพราะส่วนใหญ่เป็นถนนผ่านตัวเมือง แต่โชคก็ไม่เข้าข้างครับ เมฆเต็มฟ้า ไม่เห็นอะไรเลย สรุปกลับโรงแรมตาเปล่า 

รูปจากอินเตอร์เนต (พิกัดอยู่ตรงไหนไม่รู้)

Ersfjordbotn

ตอนไปจริงไม่เห็นวิวอะไรเพราะมืดมาก จะรอดูแสงเหนือก็เห็นแต่เมฆ

เมฆเต็มฟ้าที่ Ersfjordbotn

 

Bergen

  • แวะมานอนที่นี่คืนนึง มีเวลาเดินเที่ยวเกือบๆ 1 วัน จริงๆ ก็พอครับ แต่ถ้าใครชอบชิลๆ กินบรรยากาศไปเรื่อย เที่ยวแบบไม่เร่งรีบ คนไม่พลุกพล่านมาก แนะนำอยู่นานกว่านี้อีกนิดนึง เมืองเขาน่ารัก สวยงามโดยเฉพาะโซน Bryggen แค่เดินถ่ายรูปเล่นอย่างเดียวก็เกินครึ่งวันแล้ว
  • ส่วนที่สวยที่สุดของเมืองก็คือ Bryggen และแถบท่าเรือที่มี fish market ที่มีชื่อเสียง ใครแวะมาแนะนำให้มากินอาหารทะเลที่นี่ สดใหม่และอร่อย ไม่ต้องไปแวะร้านแพงๆ ครับ ได้ลองมาทั้งสองที่ ใน fish market นี่ถูกและอร่อยกว่าร้านแพงในเมือง

  • สามารถเดินเที่ยวได้ทั่วเมืองครับ ไม่ต้องขึ้นรถก็ได้
  • มีจุดชมวิวมุมสูงของเมืองที่หาได้มี 2 จุดครับ
    1. Ulriken643 (Ulriken Cable Car) อยู่ห่างจากตัวเมืองเดินไม่ไหว เลยไม่ได้ไปขึ้นครับ ถ้าสนใจลองหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ
    2. Fløibanen funicular railway อันนี้จะเป็นวิวเตี้ยหน่อย เป็นเหมือนรถ Tram พาขึ้นไปชมเมืองบนเขา Floyen แบบไม่สูงนัก สถานีอยู่ไม่ไกลจาก Bryggen สามารถเดินไปได้ แต่ผมก็ไม่ได้ขึ้นเหมือนกัน เนื่องจากฟ้ามืดมัว ขึ้นไปก็ไม่น่าจะสวย ถ้าสนใจหาข้อมูลต่อได้ ที่นี่ ครับ

 

Bryggen

“บรีเก็น” เป็นท่าเรือเก่าของเมือง Bergen ถูกประกาศเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 เป็นเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมแบบยุโรปหลากสีสัน และมีโครงสร้างเป็นอาคารไม้ที่ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี ปัจจุบันอาคารเหล่านี้ถูกปรับให้เป็นร้านค้า ร้านอาหาร เดินทะลุไปด้านหลังก็จะเห็นโครงสร้างไม้เดิมๆ ที่ยังแข็งแรง มีร้านกาแฟเล็กๆ ให้นั่งพักชิลๆ ได้ (ภรรยาเจ้าของเป็นคนไทยด้วย)

ถ่ายรูปร้อยมุมก็ไม่เบื่อ

ร้านตัดผม
มีร้านขายของที่ระลึกเยอะไปหมด

ช่องที่เดินเข้าไปด้านหลังของบ้านสีๆ

ดูตึกมันเอียงๆ (ในใจคิดว่ามันจะล้มไหม)

เดินขึ้นไปชั้น 2 ได้

ร้านกาแฟ

 

วิวกลางคืน

ถ่ายได้จากหน้าต่างห้องนอน (ฟิน) ไม่ต้องไปทนหนาวข้างล่าง ได้วิวมุมสูงขึ้นนิดนึงด้วย

Fløibanen funicular railway

Fish Me Fishmarket

เป็นตลาดปลาเก่าแก่ของที่นี่ เริ่มก่อตั้งตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1200 นู่น ที่นี่มีทั้งขายของสด และมีร้านอาหารย่อมๆ ให้ได้เลือกนั่งกินหลายร้าน ราคาไม่แพงจนเกินไปนัก จริงๆ เห็นเขาว่ามีทั้ง indoor และ outdoor แต่ช่วงที่ผมไปยังเป็นฤดูหนาว (ก่อนเดือนพฤษภา) เขาจะเปิดแค่ indoor เท่านั้น 

อาคารที่เป็น Fishmarket อยู่ใกล้ที่พัก

มีปลาหน้าตาประหลาดมากมาย

รอบๆ ท่าเรือ

ตัวเมือง

มีร้านอาหาร ร้านช้อปปิ้งมากมาย

ฝนตกตลอด แต่โชคดีเลยเห็นรุ้งกินน้ำพาดผ่านตัวเมือง

Sjøfartsmonumentet

St. John’s Church

 

Flåm

  • อ่านว่า “ฟลอม” 
  • หลายคนมักจะมาที่นี่แบบเป็นทางผ่าน (one-day trip) ซะมากกว่า โดยเริ่มจาก Bergen หรือ Oslo เพื่อชมวิวและขึ้นรถไฟสาย Flamsbana
วิวจากรถบัส หิมะตกหนักมาก

สะพานทางเข้า Flam
  • เมืองเขาเล็กๆ เดิน 2-3 ชั่วโมงก็ครบ แต่ขอบอกว่าบรรยากาศดีมากกกกในยามเช้าและเย็นที่ปลอดจากนักท่องเที่ยว ผมค้างที่นี่คืนนึง กินบรรยากาศเต็มที่ ก็เดินวนอยู่กับวิวเดิมๆ นั่นแหละครับ (ฮา) แล้วก็ช้อปปิ้งของที่ระลึก มีร้านใหญ่และถูกอยู่ 2-3 ร้านเลย มีซุปเปอร์มาร์เกตด้วย ไม่ต้องกลัวอด 

  • นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ (Flam Railway Museum) ด้วยครับ เข้าฟรี น่าเดินมาก เกี่ยวกับประวัติของรถไฟสาย Flamsbana เสียดายผมไปเห็นที่นี่ตอนเวลา 17.00 น. เป๊ะ ซึ่งเป็นเวลาปิดพอดี โชคดีเขาให้เข้าได้แป๊บนึง เลยได้แต่เดินดูแบบเร็วๆ ไม่ได้อ่านอะไร

  • แต่จริงๆ นอกจากเดินเล่นที่นี่มีกิจกรรมหลายอย่างครับ โดยเฉพาะในฤดูร้อน เช่น ล่องเรือ, จุดชมวิว Stegastein viewpoint, ดินเนอร์แบบชาวไวกิ้ง ฯลฯ เลยแนะนำว่าน่าจะพักอย่างน้อยคืนนึง ลองไปดูเพิ่มเติม ที่นี่ ครับ ผมไม่ได้ซื้อทัวร์ล่องเรือหรือ snowshoe hiking เลยเพราะอากาศไม่ดี เมฆเยอะ คิดว่าคงไม่เห็นอะไร ก็เลยเดินเล่นพักผ่อนอยู่ในเมือง ซึ่งไม่เบื่อเลย (เอารูปจากอินเตอร์เนตมาให้ดูด้านล่างครับ)
Stegastein viewpoint จุดชมวิวนี้สามารถขับรถขึ้นไปได้

เดินเล่นรอบๆ โรงแรม

ร้านอาหารของโรงแรม ตกแต่งแบบไวกิ้ง

Visitor center และ Mall of Norway ที่ช้อปปิ้ง

ท่าเรือและวิวรอบๆ

ข้ามไปอีกด้านของ fjord มีเนินและท่าเรือให้เดินเล่นชมวิว

ถึงอากาศจะไม่ค่อยดี แต่น้ำนิ่งเห็นเงาสะท้อนเป็นกระจกเลย สวยมากๆ

Flam Railway Museum

รถไฟสาย Flamsbana

รถไฟสีเขียวที่จอดโชว์ไว้ข้างสถานีรถไฟ
รถจริงมาจอดเทียบชานชาลาเรียบร้อย

วิวระหว่างทาง

เขาจะจอดแวะให้ถ่ายรูปที่น้ำตก 5 นาที

แล้วก็มาถึงปลายทางของรถไฟลายนี้ ที่เมือง Myrdal

Myrdal ในอดีต

จากที่นี่เราก็เดินทางสู่ออสโลเพื่อบินกลับบ้านกันในวันรุ่งขึ้น

 

จบทริปนอร์เวย์อย่างสมบูรณ์ครับ ถือว่าครบเครื่อง ได้เห็นทั้งธรรมชาติยิ่งใหญ่ แสงเหนือมหัศจรรย์ และเมืองเล็กๆ น่ารักๆ สุดแสนจรรโลงใจ ถือว่าเป็นทริปที่น่าจดจำและประทับใจไม่แพ้ที่อื่นๆ เลย

 

About Breathe My World 68 Articles
A man who love travelling the world.