Milan เป็นเมืองหลวงของอิตาลีซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ ขึ้นชื่อในด้านแฟชั่นและศิลปะ จนถือว่าเป็นเมืองแห่งแฟชั่นเทียบเท่ากับนิวยอร์ค ปารีสเลยก็ว่าได้ ส่วน Pisa เป็นเมืองมรดกโลกเมืองหนึ่ง มีสิ่งก่อสร้างที่ไม่มีใครไม่รู้จัก และต่างก็อยากมาเห็นของจริงเข้าซักครั้ง นั่นคือ หอเอนปิซ่า
แต่ละเมืองที่ไปในทริปนี้ คลิ๊กที่ลิงค์ด้านล่างรูปเลยครับ
วันที่ 1 และ 2 : อารัมภบทและ Lake Como
วันที่ 2 และ 3 : Venice ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก
วันที่ 3 และ 4 : Florence เมืองแห่งศิลปะ
วันที่ 4 ถึง 6 : Rome และ Vatican เมืองประวัติศาสตร์อันยาวนาน
วันที่ 6 และ 7 : Milan เมืองแฟชั่นโลก
วันที่ 8 : Pisa เมืองมรดกโลก
สารบัญ
มิลาน (Milan)
มิลานเป็นเมืองหลวงปัจจุบันของประเทศอิตาลี ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งแฟชั่น หลายคนมาที่นี่เพื่อช้อปปิ้งเพราะมีย่านรวมแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมมากมาย
แผนการเที่ยวมิลาน
แผนการเที่ยวที่นี่ ไม่มีอะไรมากเลยครับ วางแผนไปกันแค่มหาวิหารและแหล่งช้อปปิ้งทั้งหลาย ซึ่งก็จะอยู่บริเวณเดียวกัน เดินไปมากันได้สะดวกตามแผนที่ด้านล่าง
การเดินทาง
– สถานีรถไฟหลัก คือ Milano Centrale
– เดินทางภายในเมืองสามารถใช้รถไฟใต้ดิน (metro) ตามแผนที่ด้านล่าง ซึ่งที่นี่มีอยู่ 3 สายครอบคลุมที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปได้ทั้งหมด ราคาก็ 1.5 ยูโรต่อเที่ยว ใช้ได้ 90 นาที ผมซื้อเป็นตั๋ววัน 24 ชั่วโมง 4.5 ยูโร คุ้มสุดคุ้ม เพราะขึ้นลงหลายรอบมาก
ที่พัก
มีให้เลือกมากมายหลายราคาทั้งโรงแรม, airbnb, bed and breakfast
Smart Hotel Milano (ห้องเล็กมาก)
ตามความเห็นส่วนตัว มิลานไม่ได้มี landmark อะไรให้เที่ยวมากนัก นอกจาก Duomo di Milano ส่วนใหญ่จะมาเดินดูของหรือช้อปปิ้งซะมากกว่า แต่แค่ Duomo ก็อลังการมากแล้วครับ ควรค่าแก่การแวะมาเป็นอย่างยิ่ง
แต่วันแรกเราปรับแผนนิดหน่อย เพราะดูมีเวลาเยอะหน่อย เลยลองหาที่เที่ยวอื่นจากอินเตอร์เนตดู เห็นว่ามีปราสาทประจำมิลานอยู่ เลยแวะไปครับ
Castello Sforzesco (Sforza castle)
เป็นเหมือนจตุรัสย่อมๆ มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะอยู่ด้วยครับ
เสร็จแล้วก็ขึ้น metro ย้อนมาที่ duomo ครับ วันแรกเดินดูภายนอกและถ่ายวิวกลางคืน และก็กลับโรงแรมนอน
Piazza del Duomo
เป็นจตุรัสหลักของมิลาน ซึ่งจัดว่าเป็น Historical Complex ที่มีสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่รายรอบ คือ Duomo di Milano, Duomo Museum, โบสถ์ San Gottardo และ Galleria Vittorio Emanuele II
จตุรัสนี้คนเยอะมาก ทุกวัน และทั้งวัน มีทั้งแขกและคนผิวสีมาขายไม้สติ๊ก อาหารนก ด้ายผูกข้อมือที่เข้ามาประชิดตัวแล้วก็บอกฟรีๆๆๆ พอผูกเสร็จก็เก็บตังค์ แต่ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเพราะถ้าไม่สนใจหรือบอกไม่เอา เขาก็ไม่มายุ่งกับเรา แต่มีบางคนเผลอให้ผูกก็เสร็จมัน
วิวจตุรัสตอนกลางคืน
มีคนมาแสดงความสามารถกันอยู่ทั่วไป ทั้งร้องเพลง เล่นละครใบ้ กายกรรมย่อมๆ ดูกันเพลิน (ตอนรอคุณแม่บ้านชอปปิ้ง)
มาถึงไฮไลท์กันดีกว่าครับ
Duomo di Milano
เป็นวิหารประจำเมือง สร้างเสร็จปี 1813 ใช้เวลาสร้างถึง 400 ปี ด้านนอกมียอดแหลมทั้งหมด 135 ยอดและมีรูปสลักหินอ่อนประดับอยู่กว่า 3,000 ชิ้น จึงมีหลายคนเรียกว่า “มหาวิหารเม่น” ยอดที่สูงที่สุดมีรูปสลักทองอยู่ด้วย มีชื่อว่า Madonnina ซึ่งสูง 4 เมตร
ภาพนี้วิวตอนเช้าประมาณ 9 โมง ยังไม่ค่อยมีคน
รูปสลักรายรอบผนังวิหาร ผมเดินดูและถ่ายรูปอย่างไม่มีเบื่อ ลวดลายของหินอ่อน สีขาวและชมพูคละกันอย่างสวยงาม แต่ละเสา แต่ละซุ้ม แต่ละหน้าต่างประตูนี่ลวดลายแตกต่างกัน มีรูปสลักอยู่นับพันๆ ล้วนแต่มีอิริยาบทแตกต่างกันทั้งสิ้น
รูปปั้นและลวดลายต่างๆ ตามยอด
แม้กระทั่งท่อรางน้ำยังทำเป็นตัวสัตว์ต่างๆ แปลกตา สวยงามดี
หลังจากเดินดูด้านนอกจนอิ่มหมีแล้ว เข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ
สามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้หลายแบบ ดูออนไลน์แล้วงงมาก เลยต้องไปต่อแถวซื้อที่ ticket office แนะนำให้ไปเช้าๆ (ก่อนสิบโมงเช้า – เขาเปิดขายตั๋ว 8.00 น. และให้ขึ้นดาดฟ้าได้ 9.00 น.) เพราะคิวซื้อตั๋วหรือขึ้นดาดฟ้าจะยาวมากหรือไม่งั้นต้องมาช่วงบ่ายเลย
สรุปคือ (รายละเอียดปี 2016) ตั๋วเข้า Duomo ราคา 2 ยูโร (เมื่อก่อนเห็นว่าเข้าฟรี เสียเฉพาะเวลาถ่ายรูป แต่ตอนนี้เขาเก็บหมดทุกคนแล้ว), ตั๋วขึ้นดาดฟ้า (terrace) ถ้าขึ้นลิฟท์ก็ 13 ยูโร ถ้าเดินขึ้นบันได (น่าจะประมาณสี่ร้อยกว่าขั้น) ก็ 8 ยูโร นอกจากนี้ก็มี museum, โบสถ์ San Gottardo และส่วนของ Archeological area ด้วย (จำราคาไม่ได้แล้วครับ) แต่เขามีตั๋วเหมาเข้าได้ทุกอย่าง คือ Pass A (ขึ้นลิฟท์ได้) 15 ยูโร และ Pass B (บันได) 11 ยูโร ซึ่งถ้ามีเวลาเข้าได้หมด pass นี้ก็คุ้มมาก
เหนือบริเวณด้านหน้าตามรูปด้านบน มีรูปจำลองของพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนอยู่ด้านบนใกล้ๆ เพดานโบสถ์ (สูงมาก มองแทบไม่เห็น)
มีกระจกโมเสคสีสันสวยงาม มีเรื่องราวต่างๆ อยู่รอบมหาวิหาร
รูปสลักต่างๆ งดงามและมีรายละเอียดมาก
อันนี้ส่วนของ Archeological area ทางลงจะอยู่ภายในโบสถ์
เดินวนอยู่นานนึกว่าทางขึ้นดาดฟ้า (terrace) อยู่ในมหาวิหาร แต่สรุปว่าอยู่ด้านนอกครับ ทางขึ้นโดยบันไดและลิฟท์จะอยู่แยกกัน หาดีๆ อย่าต่อแถวผิดจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ
สวยงามมากครับ ไม่รู้สร้างกันไปได้ยังไง น่าทึ่งมาก
ถึงบนหลังคาแล้ว
มีบางส่วนซ่อมแซมไปบ้างแล้ว เห็นเป็นหินอ่อนสีขาวตัดกับของเดิม
จบโหมดศิลปะ มาต่อด้วยแหล่งช้อปปิ้งยอดฮิตของมิลานกันครับ
Galleria Vittorio Emanuele II
เป็นศูนย์การค้าแห่งแรกซึ่งอลังการสวยงามมากซึ่งอยู่ด้านข้างของ Duomo นั่นเอง รอบๆ ก็มีห้างและถนนร้านค้าแบรนด์เนมอีกมากมาย เช่น La Rinascente Milano, Quadrilatero della Moda เดินกันจนเมื่อย และคนเยอะมากกกก สมใจคุณแม่บ้านเขาล่ะ แต่อย่าถามว่ามีร้านอะไรบ้าง อยู่ตรงไหนนะครับ ผมจำไม่ได้ รู้แต่ว่าตรงไหนมีม้านั่ง มีรถเข็นขายน้ำ เพราะใช้เป็นที่ปักหลักนั่งรอ 555
ที่นี่มีสิ่งที่เป็นจุด check point หรือต้องมาถ่ายรูปอีก 2 จุด คือ รูปโมเสคบนพี้น รูปแรกคือ SPQR โมเสค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโรม ซึ่งเป็นคำย่อมาจาก Senetus Populusque Romaus แปลเป็นอังกฤษว่า The Senate and People of Rome (สภาสูงและประชาชนแห่งโรม) ซึ่งเป็นคติพจน์แห่งจักรวรรดิโรมัน
และรูปสอง เป็นรูปวัวกระทิง ซึ่งนอกจากจะมาดูแล้ว ต้องเหยียบ บี้ ขยี้ไข่แล้วหมุนตัว เชื่อกันว่าจะทำให้โชคดี ยืนดูไปเรื่อยๆ ก็เพลินดีครับ ต่างคนต่างมีลีลาไม่ซ้ำกัน 555 (ได้รูปตอนไม่มีคนเพราะมาถ่ายตอนกลางคืนครับ ไม่งั้นนะ อย่าหวังเลย)
ด้านข้างของ Galleria Vittorio Emanuele II มีจัตุรัสเล็กๆ คือ Piazza della Scala มีรูปปั้นของ Leonado da Vinci ตั้งอยู่
จบมิลานครับ เดินเล่นกันจนหมดวัน และต้องไปส่งคุณภรรยาที่สนามบินแล้ว ส่วนผมจะย้อนไปประชุมต่อที่ Florence แต่ก่อนไปถึงจุดหมาย จะแวะเที่ยวที่ Pisa ก่อนครับ
ปล. มีอีกที่ที่น่าไปคือ Santa Maria delle Grazie เพื่อชมงานศิลปะชิ้นสำคัญคือ The Last Supper แต่ผมจองออนไลน์ไม่ทัน ตั๋วเต็มซะก่อน เลยไม่ได้ไป (สนใจจองได้ที่ เวบนี้ ครับ)
ปิซ่า (Pisa)
ปิซ่าอยู่ใกล้กับเมือง Florence ออกไปทางตะวันตก ถูกประกาศเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1987 เรามักจะเคยได้ยินหอเอนปิซ่าตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน และคงรู้จักประเทศอิตาลีเพราะหอเอนนี่เอง นักท่องเที่ยวมักจะมาที่นี่แบบ ond-day trip จาก Florence ซึ่งสะดวกมากครับ
การเดินทาง
– สถานีรถไฟหลัก คือ Pisa Central Station
– อาจเดินจากสถานีรถไฟไปหอเอน (ใช้เวลาประมาณ 20 นาที) หรือจะนั่งรถเมล์ไปก็ได้ครับ ตั๋วรถเมล์ก็เหมือนเมืองอื่นๆ คือต้องซื้อแถวร้านหนังสือพิมพ์แล้วค่อย validate บนรถ
ที่พัก
มีให้เลือกมากมายหลายราคาทั้งโรงแรม, airbnb, bed and breakfast
Hotel Terminus Plaza
ผมออกจากมิลานมาถึงปิซ่าตอนดึกๆ เพราะอยากเริ่มเที่ยวตั้งแต่เช้าเพื่อหลีกเลี่ยงฝูงมหาชน ออกจากโรงแรมตั้งแต่แปดโมงเช้าเพื่อคนจะได้ไม่เยอะมาก ตอนแรกจะนั่งรถเมล์ไปเพราะขี้เกียจเดิน แต่เพราะออกเช้าไป ร้านหนังสือพิมพ์ไม่เปิดเลยไม่มีตั๋วรถเมล์ เลยต้องจำใจเดิน…แต่ผิดคาดครับ จากที่เคยคิดว่าปิซ่าไม่มีอะไรนอกจากหอเอน แต่ระหว่างทางวิวสวยเหมือนกันครับ จุดชมวิวแรกที่เจอก็คือบนสะพานข้ามแม่น้ำ Arno และเห็นโบสถ์เล็กๆ คือ Santa Maria della Spina
ตามแผนที่ด้านบน ขาไปหอเอนตอนเช้าผมเดินไปข้ามสะพาน Ponte Solferino ตาม google map ซึ่งใกล้กว่าเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรนอกจากบ้านเรือน พอมาถึงสะพานก็เห็นวิวโบสถ์และแม่น้ำ สวยครับ
จุดๆ สีฟ้าในแผนที่เป็นเส้นทางเดินกลับซึ่งน่าเดินมากครับ เพลินดี มีทั้งร้าน local market และร้านช้อปปิ้งแบรนด์ต่างๆ พอควร เดี๋ยวจะเล่าต่อตอนกลับครับ
เดินผ่าน จตุรัส Emanuelle
Santa Maria della Spina
ได้วิวตอนเช้าพอดี โบสถ์ Santa Maria della Spina อยู่ทางริมน้ำด้านขวาในรูปครับ เป็นโบสถ์เล็กๆ แต่โดดเด่นมากกับที่ตั้งตรงนี้
เมืองเงียบสงบตอนเช้า
ถึงละครับ เห็นยอดหอเอนลิบๆ
Square of Miracles
เป็นจตุรัสที่เป็นที่ตั้งของหอเอนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ แต่ไม่ได้มีแค่หอเอนนะครับ ในจัตุรัสยังมีโบสถ์ หอศีลจุ่ม พิพิธภัณฑ์อยู่รายรอบ
รูปนี้หอเอียงผิดธรรมชาตินะครับ จริงๆ มันเอียงไปอีกทาง แต่นี่เป็นผลของเลนส์ไวด์
ตอนเช้าคนน้อยมากๆๆ (ทัวร์คณะแรกจะมาถึงตอนประมาณ 9.00 น. ถ้ามาก่อนหน้าที่ Pisa ก็เป็นของเราครับ ถ่ายรูปไม่ต้องหลบมุมให้ปวดหัว)
Leaning Tower of Pisa (หอเอนปิซ่า)
สร้างเสร็จเมือปี 1350 (ใช้เวลาสร้าง 177 ปี) เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 55 เมตร มีบันได 293 ขั้นและเอียงจนยอดหอออกห่างจากแนวกลาง 3.9 เมตร หอนี้ไม่ได้ตั้งใจสร้างให้เอียง แต่เริ่มเอียงตั้งแต่การสร้างถึงชั้นที่ 3 เนื่องจากพื้นดินเป็นดินนิ่มทำให้ยุบตัว
ถ้าจำตอนเรียนวิทยาศาสตร์ได้ คงคุ้นๆ กับชื่อกาลิเลโอผู้ทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก เขาใช้หอนี้ทดลองโดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน
เดินดูรอบๆ ตั้งแต่เช้า รอเวลาเปิดให้ปีนหอเอน ผมซื้อตั๋วล่วงหน้ามาก่อนทาง ออนไลน์ ราคา 18 euro (แพงจริง) แต่จริงๆ คิวไม่ยาวมาก ที่นี่เขาไม่ให้เอากระเป๋าขึ้นไปเลยครับ ต้องเอาไปฝากไว้ที่ล็อคเกอร์ข้างๆ ห้องขายตั๋วก่อน (ฟรี) พอเข้าไปที่ฐาน จะมีเล่าประวัติให้ฟังสั้นๆ แล้วค่อยให้เดินขึ้นไป
บันไดแคบเชียว เป็นหินอ่อนทุกขั้น
เดินไม่เหนื่อยไม่เท่าไรก็ถึงยอดแล้วครับ
มองเห็นวิวเมือง และโบสถ์
เสียดายไม่ได้เอากระเป๋ามา เลยไม่ได้เอาเลนส์ไวด์ขึ้นมาด้วย เลยได้มุมแคบแค่นี้
โหมดพาโนรามาของ iphone เก็บได้กว้างกว่านิดนึง
Duomo di Pisa (Pisa Cathedral)
ภายนอกสวยมาก ส่วนภายในก็สวยเหมือนกันครับ แต่ตอนไปมีพิธีอะไรซักอย่าง เขาเลยไม่ให้ถ่ายรูป
Baptistery
Baptistery หรือหอล้างบาปหรือหอศีลจุ่มอยู่ทางด้านตะวันตกของโบสถ์ ซึ่งมีอ่างศีลจุ่มอยู่ตรงกลาง ที่ปิซ่าหอนี้จะมีรูปร่างกลมใบ้สำหรับเรียนคำสอนและรับศีลจุ่ม
นอกจากสถานที่สำคัญทั้งสามที่ให้ชมไปแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ทางด้านข้างหลายที่ด้วย แต่ไม่ได้เข้าครับ ถ้าสนใจดูรายละเอียดในเวบด้านบนดูครับ
เดินวนไปวนมาจนหนำใจละ เพราะมีเวลา 3 ชม.ที่นี่ ก็เลยกลับ ขากลับก็เลยเดินเหมือนเดิม และก็ผิดคาดเหมือนเดิม (เพราะเมืองนี้ไม่เคยคาดอะไร เลยผิดคาดไปหมด 555) เพราะระหว่างทางเดินกลับ (ตามจุดสีฟ้าในแผนที่เดินด้านบนครับ) มี local market ที่คนท้องถิ่นจะเอาของมาขาย ดูๆ เป็นของมือสอง และของ hand-made น่ารักดีครับ เดินแล้วเพลิน นอกจากนี้ก็ยังมีร้านแบรนด์เนมอยู่ประปราย เป็นแหล่งช้อปปิ้งย่อมๆ ได้เลย
เดินมาจนถึงจตุรัสก่อนขึ้นสะพาน Ponte di Mezzo กลับโรงแรม มีงานอะไรไม่รู้ เด็กๆ ขี่จักรยานมาเป็นร้อยๆ
สรุปเป็นเมืองที่ชอบแบบไม่ได้คาดหวังมาก่อนอีกเมืองหนึ่งเลยทีเดียว แนะนำให้เดินครับ ถ้านั่งรถเมล์ จะพลาดอะไรหลายอย่างเลย
ปิดท้ายซีรีย์ทริปอิตาลี การท่องเที่ยวยุโรปแบบเต็มตัวครั้งแรกของผมครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างตอนแรกที่จะมาอิตาลี คิดอยู่นานมากจะตัดเมืองไหนออกดีเพราะเวลาน้อย เลยได้มาแบบรีบๆ เร็วๆ แบบนี้ เหนื่อยหน่อย แต่ได้ครบแบบที่ตั้งใจ และคุ้มมากครับ ถึงตอนนี้ ถ้าให้ถามตัวเองอีกว่า…จะตัดเมืองไหนถ้าให้จัดทริปอีก ขอตอบว่า ขอลาพักร้อนเพิ่มและอยู่แต่ละเมืองเพิ่มดีกว่าครับ (ฮา – แต่เจ้านายคงฮาไม่ออก แต่คงได้ออกจากงานเป็นแน่ 555)