ช่วยไลค์ช่วยแชร์ครับ

ที่ซื้อรถไฟฟ้า (คันนี้ไม่ใช่ pure EV แต่เป็น PHEV ใช้ไฟฟ้าได้ ใช้น้ำมันก็ได้โดยใช้หลักการแบบรถไฮบริด) ก็เพราะอยากใช้ไฟฟ้า!! แต่ที่บ้านไม่ได้ติดที่ชาร์จซักที จะเทียวไปเทียวมาชาร์จไฟตามปั๊มก็อยากนอนเล่นที่บ้านมากกว่า ทีนี้เลยลองดูว่าถ้าใช้ไฟจนหมดแล้ว ใช้น้ำมันอย่างเดียวให้รถวิ่งแบบไฮบริด จะประหยัดได้ซักเท่าไรกัน ลองมาดูกันครับ

#รีวิว Outlander PHEV แบบคนรู้น้อยค่อยๆ เรียนรู้ไป #เขียนตามการใช้จริงลองผิดลองถูก #ผิดถูกยังไงแนะนำได้ครับ

 

ตอบคำถามในรูปได้เลยแบบไม่ลังเลว่า “ไม่จริง” ครับ

 

🔌 รีวิวนี้เกิดจากคำถามคาใจว่า “ถ้าแบตหมด แล้ววิ่งด้วยระบบไฮบริดอย่างเดียว มันจะประหยัดกว่ารถเบนซินที่เคยใช้หรือรถไฮบริดอื่น ๆ ไหม” เลยลองทดสอบแบบง่าย ๆ ดู

🔌 อัตราการสิ้นเปลืองนี้ได้จากการลองวิ่งจากการเติมน้ำมันเต็มถัง (E20) หลังจากแบตหมดจากหน้าปัด แล้วบันทึกเลขไมล์หน้าจอไว้ ขับไปจนเกือบหมดถัง (เหลือน้ำมัน 1/8 ขีดจากรูปที่หน้าเรือนไมล์) และเติมน้ำมันจนเต็มถังอีกครั้ง แล้วคำนวณอัตราสิ้นเปลืองจากจำนวนระยะทางที่วิ่งได้ครั้งก่อนและจำนวนลิตรของน้ำมันที่เติมใหม่…อันนี้เป็นความเข้าใจในการคำนวณของผมนะครับ ประกอบกับการสังเกตตอนขับจริง ผิดถูกอย่างไรชี้แนะได้ครับ

🔌 กรณีที่รถขึ้นว่าไม่สามารถวิ่งด้วยแบตได้แล้ว จริง ๆ แล้วแบตไม่หมดลูกนะครับ มันจะเหลือไว้ 25-30% เพื่อถนอมแบตไว้ไม่ให้เสียหาย

🔌 ที่รุ่นนี้โฆษณาว่าวิ่งได้ 52.6 กิโล/ลิตร !! นี่เป็นอัตราสิ้นเปลืองตอนวิ่งด้วยไฟฟ้าครับ (คำนวณยังไงไม่รู้) อย่าเข้าใจผิดว่าจะได้เท่านี้ทุกสถานการณ์ 

🔌 แน่นอนว่า อุปนิสัยในการขับที่แตกต่างกัน ย่อมได้อัตราการสิ้นเปลืองที่ต่างกัน ครับ ดังนั้นเวลาเราดูรีวิวที่ไหน ต้องดูด้วยว่าเขาขับแบบไหน ในคู่มือรถหรือโฆษณาที่เขาได้ตัวเลข กิโล/ลิตร เยอะ ๆ จนทำให้เราน้ำลายไหลนี่ ผมเข้าใจว่าเขาจะทดสอบแบบประหยัดสุด ๆ แบบวิ่งเป็นเต่าความเร็วเฉลี่ยประมาณ 60 km/h ไม่เร่งไม่แซง (อันนี้ถ้าเข้าใจผิดบอกได้นะครับ) เพราะสังเกตว่าอีโคคาร์คันแรกของผม (Nissan March) ที่โฆษณาว่าประหยัดสุด ๆ ผมขับในเมืองก็ยังได้แค่ 11-12 กิโล/ลิตร เลย (สงสัย 👣 หนักไปหน่อย 🤣) งั้น สรุปลักษณะการขับของผมในรีวิวนี้เป็นแบบนี้ครับ

👉 ขับโหมด Normal เป็นหลัก ไม่ได้เปิดโหมด Eco เลย

👉 ขับใน กทม. ช่วงโควิดรถไม่ติด ตอนเช้าไปทำงานขับได้ 80-110 km/h (ตื่นเช้ามาก รถยังไม่เยอะ) ส่วนตอนเย็นกลับบ้าน 60-90 km/h (ตอนนี้ล็อคดาวน์ รถน้อย มีติดเป็นช่วง ๆ แต่ไม่มาก ไม่ค่อยมีไฟแดง) มีเหยียบเร่งแซงเบา ๆ บ้าง (รถยังใหม่ รอให้คุ้นก่อนและอยากประหยัด เลย 👣 ยังไม่หนักครับ 🤣)

👉 ระยะทางเที่ยวละประมาณ 20 กิโล (รวมขับวันนึงไม่เกิน 40 กิโลเมตร)

👉 เปิดแอร์ 26 องศา (ไม่ได้คิดจะประหยัดนะครับ เพราะปกติชอบแอร์เย็น ๆ แต่คันนี้ 25 นี่หนาวมากกก สงสัยเพราะรถยังใหม่อยู่ 🤣), เปิดวิทยุ ตลอดเวลา, ไม่ค่อยได้ชาร์จโทรศัพท์จากรถ มีแค่เสียบ USB กับกล้องหน้ารถและกล่องแอนดรอยด์

 

 

🔌 สรุป ‼️ ถังแรกนี้ใช้ไป 34.18 ลิตรขับได้ระยะทางประมาณ 414 กิโลครับ ดังนั้น อัตราการสิ้นเปลือง ของผมที่ได้คือ 12.11 กิโล/ลิตร (ถังน้ำมันของรุ่นนี้จุ 45 ลิตร แต่ผมเติมน้ำมันตอนขีดน้ำมันเหลือ 1 ขีด หน้าจอบอกวิ่งต่อได้ 87 กิโล) แต่ถ้าใช้วิ่งทางไกลอาจจะได้ตัวเลขดีกว่านี้

🔌 แย่ไหม? ผมว่าก็โอเคครับกับเครื่อง 2.4L, 4WD (แต่ก็แอบหวังว่ามันจะได้ตัวเลขที่ดีกว่านี้ 🤣) เพราะรถเดิมผมเบนซิน 1.6L (Nissan Juke) วิ่งยังไงก็ได้แค่ 11-12 กิโล/ลิตร 

 

 

🔌 ถ้าคิดเป็น บาทต่อกิโลเมตร จะได้ ประมาณ 2.29 บาทต่อกิโลเมตร ครับ คำนวณจากราคาน้ำมัน ณ วันที่ 3 กันยายน 2564 (E20 27.79 บาทต่อลิตร)  (ถ้าวิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว แล้วมาคำนวณกับค่าไฟที่เสียไป (กรณีคิด rate การชาร์จที่บ้านโดยไม่ใช่มิเตอร์ TOU) มีเพื่อน ๆ มารีวิวกันว่าได้ประมาณ 1 บาทต่อกิโลเมตรครับ) ดังนั้นใช้ไฟฟ้าก็จะประหยัดกว่าประมาณครึ่งนึง

🔌 แต่จะให้มานั่งคำนวณแบบนี้ตลอดเวลาก็ขี้เกียจ งั้นเรามาดูตัวเลขที่หน้าเรือนไมล์กันบ้างว่ามันตรงกับที่เราคำนวณหรือเปล่า >>> ดูคร่าว ๆ ของแต่ละทริปที่ขับถังนี้จะได้ประมาณ 11-13.5 ครับ (รูปซ้าย) ถ้าไปดูในเมนู Fuel history ของวิทยุจะบอกสถิติของอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันได้ด้วย (รูปขวา) ดังนั้นที่รถคำนวณให้ก็ใช้ดูได้เหมือนกันครับ

 

 

🔌 ลองเทียบกับรถไฮบริดอื่น ๆ อย่างรถของคุณแม่บ้านผมใช้ Prius (เครื่อง 1.8L, ถังน้ำมันจุ 45 L) ซึ่งประหยัดทีเดียวครับ เดือนนึงเติมน้ำมันทีนึง แต่จำอัตราสิ้นเปลืองแน่นอนไม่ได้แล้ว (น่าจะเกือบ ๆ 20 กิโล/ลิตร) ถ้าใครมีประสบการณ์รถไฮบริดหรือ e-Power รุ่นอื่น ๆ ลองมาแชร์กันได้ครับ

 

 

🔌 ถ้าอยากประหยัดมากกว่านี้ ก็อย่างที่บอก วิ่งไม่เกิน 80 และ กะจังหวะถอนคันเร่งและเหยียบเบรคดี ๆ เพราะช่วงปล่อยคันเร่งกับเหยียบเบรคจะมีระบบ regenerator ปั่นไฟเข้าแบตด้วย หรือใช้โหมด B (B4,B5) ช่วยหน่วงในการขับขี่จะปั่นไฟได้มากขึ้นครับ ส่วนการขับด้วยโหมด Eco นี่ยังไม่ได้ลองจริงจังครับว่ามันจะประหยัดเพิ่มขึ้นกว่าโหมด Normal มากน้อยแค่ไหน (แต่จากที่เคยดูที่หน้าปัดที่รถคำนวณให้แล้ว ต่างกันประมาณ 1-2 กิโล/ลิตรครับ)

🔌 และก็มีคำถามในหัวผุดขึ้นมาว่า… ⁉️ ถ้าไม่ใช้แบตแล้วรถมันจะวิ่งด้วยอะไร…คำตอบก็คือ ใช้หลายระบบผสมผสานกันครับ (แบบที่เขาเรียกว่า Multimode eTransmission) คือ 👉 ใช้เครื่องยนต์ปั่นไฟให้แบต แล้วรถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (Series hybrid) 👉 แต่ถ้าไฟใกล้หมด/ขับเร็ว/เร่งแซง เครื่องยนต์จะมาช่วยขับเคลื่อนด้วยแล้วก็ชาร์จไปด้วยได้ (Parallel hybrid) 👉 ถ้ามีการชาร์จไฟกลับจนพอแล้ว รถจะตัดให้ไปขับโหมด Pure EV ให้อัตโนมัติ แต่ก็แป๊บเดียวครับ ที่สังเกตดูก็ประมาณ 3-4 กิโลเมตร หรือพอเหยียบหนักขึ้นหรือเริ่มขับเร็วเกิน 70 km/h มันก็จะตัดไปใช้เครื่องยนต์ปั่นไฟเหมือนเดิม📍ใครสนใจหรือยังงง ๆ ให้เข้าไปดูหน้าจอวิทยุรถในเมนู PHEV data ได้ครับ จะเข้าใจมากขึ้น (แต่ดูตอนขับรถนี่ต้องระวังหน่อยครับ) หรือลอง กดดู ลิงค์นี้ ครับ  สรุปสั้น ๆ มาให้ตามรูปด้านล่าง

 

 

หน้าจอ PHEV & Info เมนู Energy Flow

ใช้ดูประกอบตอนขับรถจะเข้าใจการทำงานของรถมากขึ้นครับ ว่าช่วงไหนหรือสภาพการขับขี่แบบไหนรถจะใช้ไฟ/ใช้เครื่องยนต์ปั่นไฟ/หรือใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อ (แต่อย่ามองเพลินจนลืมมองถนนนะครับ)

 

🔌 เมนูใน PHEV & Info นี่มีอีกหลายหน้าจอครับ มีประโยชน์มาก แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ค่อย ๆ เรียนรู้ไป แต่ถ้าอยากดูข้อมูลละเอียด หลายท่านซื้อ OBD2 adapter มาเสียบที่ปลั๊ก OBD2 แล้วดูข้อมูลผ่านมือถือ ส่วนผมสั่งไปแล้ว ยังไม่ได้ของ ถ้าได้ของแล้วมีประโยชน์ (และเข้าใจ) จะมารีวิวให้อีกทีนะครับ

🔌 สรุปสุดท้าย จะเห็นว่า ถ้าเราไม่ได้ชาร์จไฟเลย แล้วให้มันวิ่งแบบไฮบริดอย่างเดียว ดูแล้วจะสู้รถไฮบริดหรือ e-Power อื่น ๆ ที่อยู่ในตลาดไม่ได้ในแง่ของอัตราการสิ้นเปลือง แต่ก็จะประหยัดกว่าการใช้รถเบนซินเครื่อง 2.4L อย่างแน่นอน หวังว่า รีวิวนี้คงช่วยให้หลายคนตัดสินใจเลือกรถที่เหมาะกับตัวเองได้มากขึ้นนะครับ

 

แล้วก็นั่งรอนอนรอติดเต้าชาร์จที่บ้านต่อไป…

 

อัพเดต++ ข้อมูลอัตราการสิ้นเปลือง

โดยดูจากแต่ละทริปการขับรถโดยอ่านค่าจาก OBD2 scanner

🚗 ใครสนใจเรียนรู้รถ โดยการอ่านค่าจาก OBD2 scanner ก็ลองหามาติด (ของผมใช้ Vgate iCar Pro รุ่น Bluetooth 4.0) กับโหลดแอพมาใช้ดูครับ มีหลายอย่างที่ยังอ่านไม่เป็น แต่บางอย่างที่พอเข้าใจ ก็ทำให้เราเข้าใจรถเรามากขึ้น 

 

 

🚗 แอพที่ใช้อ่านข้อมูลจาก OBD2 มีหลายแอพมาก แต่ที่พอจะอ่านค่ารถ PHEV ได้ ผมรู้จักอยู่ 2 แอพที่โอเค คือ Car scanner กับ PHEV Watchdog แต่ Watchdog นี่หน้าจอสวย อ่านง่าย เข้าใจง่าย เรียกได้ว่า user freindly มากๆ แต่! มีให้ใช้แค่ android ครับ (ลองฟรี, เวอร์ชั่นเต็ม 550 บาท) ส่วน Car scanner ให้ข้อมูลได้เยอะกว่า (จนดูไม่หมดและงงว่าควรดูตัวไหนดี) และมีให้ใช้ทั้ง iOS และ android (ลองฟรี, เวอร์ชั่นเต็ม 150 บาท)

🚗 อีกแอพนึงเป็นของ Outlander PHEV โดยเฉพาะเลย คือ EvBatMon แต่ดูข้อมูลแล้วแอพไม่มีการอัพเดตมา 5 ปีกว่า (แต่ลองอีเมลไปถามคนทำ เขาก็ยังมาตอบอยู่นะครับว่าใช้ได้ 🤣 แต่ไม่อยากเชื่อ) และราคาแพง ประมาณพันนึงแน่ะ ไม่มีให้ลองฟรีด้วย เลยไม่ได้ลองใช้
 

🚗 ลองมาดูข้อมูลต่าง ๆ จากแอพ PHEV Watchdog กันครับ ลองขับดูหลาย ๆ โหมด โดยจะเน้นดูเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองครับ

 

 
 
ตารางสรุปจะได้อ่านง่าย ๆ (เพิ่มโหมด Eco และ Sport)
.
🚗 จากตารางสรุป จะเห็นว่าการวิ่งตอนไฟหมดกับโหมด SAVE จะคล้าย ๆ กันในแง่ของหลักการและอัตราการสิ้นเปลือง และโหมด CHARGE จะเปลืองที่สุดและปล่อยก๊าซ CO2 เยอะที่สุดเช่นกัน
 
🚗 ทีนี้ถึงคำถามว่า ถ้าใช้โหมด Eco แล้วจะประหยัดกว่า Normal ไหม? จากที่ทดสอบเองตามรูปตารางด้านบน พบว่า ไม่แตกต่างกันเท่าไรครับ ทั้งขับแบบปกติและขับแบบ Eco (ขับแบบ Eco ของผม คือ ทำความเร็วให้ค่อนข้างคงที่ไม่เกิน 80 km/h ไม่ค่อยเร่งแซง แล้วก็จะเห็นว่าขับแบบ Eco นี้ ได้ไฟจากการชาร์จแบบ regenerate น้อยกว่าโหมด Normal น่าจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้เหยียบเบรคเนื่องจากขับเป็นเต่าอยู่แล้ว ปล. อย่าลืมว่าขับช้าไม่ชิดขวานะครับ
 
🚗 ส่วนโหมด Sport จะไม่ใช้ไฟฟ้าเพราะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเป็นหลัก พบว่าอัตราการสิ้นเปลืองไม่มากเท่าการขับแบบโหมด Charge (แต่ถ้าขับจริงๆ ในถนนโล่งๆ ยาวๆ อัตราการสิ้นเปลือง “อาจจะ” มากกว่านี้ก็ได้ คงต้องไปลองดูกันครับ)
 
🚗 หลังจากได้ลองโหมด Sport ผมชอบโหมดนี้ตรงที่แรงและเร่งได้เร็วมากๆ ช่วงล่างนุ่ม แน่น ไม่โคลง แต่โหมดนี้ไม่เหมาะขับในเมือง เพราะ (นอกเหนือจากเหตุผลด้านความปลอดภัยแล้ว) เวลาเบรคหรือต้องหยุดไฟแดงบ่อยๆ ด้วยแรงเหยียบเบรคตามปกติจะทำให้หยุดแบบกระชากๆ เล็กน้อย คนนั่งด้วยจะเมารถเอาได้ 
 
🚗 ส่วนเรื่องของสิ่งแวดล้อม โหมด CHARGE จะปล่อยก๊าซ CO2 เยอะมากๆๆ เทียบกับข้อมูลทางเทคนิคของการปล่อยก๊าซ CO2 ของรถชนิดต่าง ๆ ตามตาราง
 
**Update

 

ลองใหม่ 🚗 ทริป กทม – พัทยา วิ่งสั้นๆ ด้วยระยะทาง 100 กิโลกว่าๆ รอบนี้แวะชาร์จเร็ว CHAdeMo แล้ววิ่งยาวจนถึงจุดหมาย มาดูกันว่าได้อัตราสิ้นเปลืองเท่าไร
💡ตารางแถวที่ 1 👉 ถ้าวิ่งเกินระยะ EV ไม่มาก (ที่ทดลองเหลือไฟวิ่งได้ 30 กิโล วิ่งไฮบริดต่อ 15 กิโล) ได้ตัวเลขสวยๆ แบบที่โฆษณา
💡ตารางแถวที่ 2 👉 ชาร์จเร็วครั้งเดียวแล้ววิ่งยาวๆ ร้อยกว่าโลแบบไม่เร่งรีบ (ตอนเดินทางฝนตกหนักเป็นระยะเลยขับเร็วไม่ได้มากและไม่มีเร่งแซง) ได้ตัวเลขถึง 20 กิโลลิตรสบายๆ ตอนแรกว่าจะแวะชาร์จระหว่างทางอีกซักรอบ ดูว่าจะประหยัดได้อีกขนาดไหนแต่ฝนตกหนักมาก เลยขับยาวๆ จนถึงพัทยา (ใจก็คิดว่าโชคดีที่ใช้ PHEV เพราะถ้า pure EV แล้วไฟจะหมดตอนฝนตกหนักจริงๆ ไม่รู้จะกล้าชาร์จกลางฝนไหม)
💡ตารางแถวที่ 3 👉 ชาร์จเร็วครั้งเดียวแล้ววิ่งยาวๆ ร้อยกว่าโลแบบปกติ เร่งแซงเป็นช่วงๆ ได้ตัวเลขน่าพอใจ 16 กิโลลิตร (แต่ถ้าวิ่งยาวกว่านี้น่าจะตกลงไปถึง 13-14 กิโลลิตร แบบที่เคยทดสอบตอนวิ่งไปกลับหัวหิน-กทม รอบก่อน)
 
 
.
 
ลิงค์บทความที่เกี่ยวข้อง