มาถึงภาคจบของการเที่ยวอียิปต์ของผมครับ หลังจากเริ่มเดินทางลงมายัง Upper Egypt เจออารยธรรมยุค Middle และ New Kingdom ในเมือง Aswan กันมาแล้ว ตอนนี้มาต่อที่เมือง Luxor เมืองหลวงเก่าอันยิ่งใหญ่ของอียิปต์ครับ
Related topics: กดที่ชื่อตอนด้านล่างได้เลยครับ
- ตามฝันตามประวัติศาสตร์….อียิปต์ ตอน 1 : เกริ่นนำ และ Lower Egypt
- ตามฝันตามประวัติศาสตร์….อียิปต์ ตอน 2 : ศิลปะของอียิปต์โบราณ และ Upper Egypt (1)
สารบัญ
ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ (ราคาปี 2017)
พงศาวรีฟาโรห์ที่สำคัญในยุค New Kingdom
ฟาโรห์ผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่อยู่ในราชวงศ์หลักๆ 2 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์ที่ 18 และ 19 ครับ สังเกตว่ามีการแต่งงานกันระหว่างเครือญาติกันเป็นปกติ ทำให้ลูกหลานที่เกิดมามีโอกาสที่จะมีความผิดปกติทางพันธุกรรมได้ อย่างกรณีของฟาโรห์ Tutankhamun ก็เชื่อว่ามีลักษณะร่างกายที่ผิดปกติเหมือนกัน
เพื่อให้พอนึกภาพตามได้ เลยหาเอาพงศวรีของราชวงศ์ที่เราจะได้ไปชมสุสานกันในกระทู้นี้มาลงไว้ครับ ซึ่งก็อยู่ในราชวงศ์ที่ 18 และ 19 นั่นแหละครับ เผื่อใครสนใจว่าใครมีความสัมพันธ์กับใครอย่างไรบ้าง
Luxor
เป็นเมืองหลวงเก่าของอียิปต์ถัดจากเมือง Memphis มีชื่อเดิมว่า “Thebes” (ธีปส์) ที่นี่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อียิปต์มาก สิ่งก่อสร้างที่สำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นวิหารต่างๆ สุสานของฟาโรห์อันยิ่งใหญ่ ล้วนอยู่ที่นี่ทั้งสิ้น โดยส่วนใหญ่จะสร้างในยุคของ Middle และ New Kingdom
เมืองนี้จะแบ่งเป็น 2 โซน กั้นโดยแม่น้ำไนล์ โดยโซนเมืองใหม่ คือ ฝั่งตะวันออก (East Bank) และโซนที่เป็นที่ตั้งของสุสาน อยู่ฝั่งตะวันตก (West Bank) เพราะเขาถือว่าโลกหลังความตายจะอยู่ทางตะวันตก
ที่เที่ยวสำคัญ
สามารถแบ่งเที่ยวได้วันละฝั่งก็ได้ครับ แต่จะเหนื่อยหน่อย เช่น วันแรกอาจเลือกขึ้นบอลลูนตอนเช้า แล้วเที่ยวที่ West Bank ต่อ และวันรุ่งขึ้นค่อยเที่ยว East Bank แบบเต็มวันก็เก็บได้ทุกที่ครับแต่จะเหนื่อยหน่อย ถ้าแบ่ง East Bank เป็น 2 วันจะเที่ยวแบบสบายๆ และเก็บรายละเอียดได้ครบกว่า สำหรับผมใช้เวลาที่นี่แค่ 2 วันครับ
West Bank
ที่ West Bank นี้มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณเป็นอย่างมาก เพราะเป็นบริเวณที่ใช้ในการฝังพระศพของฟาโรห์ ราชินี และขุนนางต่างๆ ซึ่งเมื่อก่อนจะฝังไว้ในปิระมิดอย่างที่ได้พาไปเที่ยวกันในตอนที่ 1 ครับ แต่จะประสบปัญหาเรื่องสมบัติถูกขโมย ดังนั้นตั้งแต่ในยุค Middle Kingdom ขึ้นมา จึงเปลี่ยนมาทำสุสานโดยการขุดเจาะเข้าไปในภูเขาแทน โดยหลังสร้างสุสานและเก็บมัมมี่ในห้องสุสานเสร็จแล้ว จะทำการปิดตายประตูทางเข้าสุสานไว้ไม่ให้ใครสังเกตได้ แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังไม่รอดมือพวกเหล่าหัวขโมยอยู่ดี เพราะทั้งทรัพย์สมบัติและมัมมี่ของฟาโรห์หลายพระองค์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่มีสุสานที่สมบูรณ์ที่สุดที่เพิ่งได้รับการขุดค้นพบเมื่อปี 1922 คือ สุสานของฟาโรห์ Tutankhamun ครับ จึงทำให้ฟาโรห์พระองค์นี้โด่งดังเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก
สังเกตยอดเขา al-Qurn ของ เทือกเขา Theban ที่เป็นสุสาน มีรูปร่างเหมือนปิระมิด ด้วยความเชื่อเหมือนตอนสร้างปิระมิดครับ ที่ว่ามีลักษณะเป็นยอดแหลมเพื่อนำผู้ตายไปสู่สรวงสวรรค์
ขึ้นบอลลูน
เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมพอสมควรครับ มีหลายบริษัทให้เลือก ผมเลือกของ Magic Horizon ราคาจองทางออนไลน์อยู่ประมาณ 70 USD ต่อคนครับ ถ้ามาหาเอาที่นี่อาจได้ถูกกว่า เดินๆ อยู่มีมาเสนอ 40 USD แต่คนละบริษัทและไม่แน่ใจเรื่องจะโดนโกงอะไรหรือเปล่า (ให้เลือกใหม่ก็จองออนไลน์ดีกว่า แพงกว่าแต่สบายใจ) เขาจะมารับเราที่โรงแรมประมาณตี 4-5 แล้วก็ไปขึ้นเรือข้ามแม่น้ำไนล์ไปยังฝั่ง West Bank มีกาแฟและขนมเล็กน้อย แล้วก็นั่งรถตู้ต่อไปยังจุดขึ้นบอลลูน
วิวจากบอลลูนจะเห็น Temple of Hatshepsut
วิวเมืองและแม่น้ำไนล์
บ้านส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพที่สร้างไม่เสร็จ มีเสาเข็มโผล่โด่เด่อยู่ ไม่มีหลังคา ตามรูปด้านล่าง ลักษณะบ้านแบบนี้เห็นได้ทั่วไปทั้ง Cairo และเมืองต่างๆ หรือแม้กระทั่งที่จอร์แดนก็มีครับ เพราะถ้าสร้างเสร็จจะเสียภาษีที่อยู่อาศัยซึ่งเขาบอกว่าแพงทีเดียว
หลังจากขึ้นบอลลูนเสร็จผมเลยเที่ยวที่ West Bank ต่อเลย โดยให้ทัวร์ที่ซื้อไว้มารับที่ Colossi of Memnon ประมาณ 7 โมงเช้าครับ ผมเลือกทัวร์ของคุณ Toni Yousef ครับ (info@luxorlocalguide.com) บริการดีมาก ทัวร์จบไม่รับทิปและมีของที่ระลึกให้ลูกทัวร์อีกด้วย
ทางเข้าเป็น Colossi of Memnon ซึ่งเป็นรูปสลักของฟาโรห์ Amenhotep III เดิมอยู่หน้าวิหารของ Amenhotep III แต่ปัจจุบันแทบไม่เหลือร่องรอยของวิหารให้เห็นแล้ว รูปสลักนี้เคยพังลงมาจากแผ่นดินไหว และเป็นต้นกำเนิดเสียงประหลาดในบางช่วงของวัน ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. แต่ปัจจุบันไม่ได้ยินแล้ว
Valley of the Kings
ที่นี่นับจากจุดซื้อตั๋ว เขาไม่ให้ถ่ายรูปแล้วครับ (ทั้งภายนอกและภายใน) หลังจากเดินเข้าเขตไป จะสามารถเดินไปยังสุสานก็ได้ หรือใช้บริการรถก็ได้ครับ (เสียเงิน) ถ้าเดินก็ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที
UPDATE ปลายปี 2017: ตอนนี้เขาอนุญาตให้ถ่ายรูปภายในสุสานได้แล้วครับ โดยต้องซื้อตั๋วถ่ายรูปเพิ่ม เสียดายตอนผมไป เขายังไม่ให้ถ่าย
สภาพด้านหน้า Valley of the Kings ถัดจากประตูรั้วเข้าไป ห้ามถ่ายรูปแล้ว รูปภายในสุสานทั้งหมด ผม download มาจาก internet ครับ
ซื้อบัตรเข้าชม เราสามารถเข้าสุสานได้ทั้งหมด 3 แห่งฟรีครับ ส่วนสุสานของ Tutankhamun ต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่ม ไกด์ของผมแนะนำทั้งหมด 3 ที่ คือ Ramses IV, Ramses IX และ Merenptah ซึ่งเขาคิดว่าสวยที่สุดใน Valley of the Kings ตามจุดสีแดงด้านล่างครับ
Tomb of Ramses IV (KV2)
ที่นี่เป็นสุสานแรกที่เราได้เข้ากันครับ ต้ังแต่ทางเดินเข้าสุสาน ผนังเต็มไปด้วยบทสวดซึ่งเขียนในภาษาเฮียโรกริฟฟิก มันสวยงามและน่าทึ่งมากครับ เพราะทั้งสีสัน ภาพวาดยังชัดเจน ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะคงอยู่มาได้เป็นพันๆ ปี
Tomb of Ramses IX (KV6)
Tomb of Merenptah (KV8)
Tomb of Tutankhamun (KV62)
Tutankhamun เป็นฟาโรห์ที่โด่งดังมาก ไม่ใช่เพราะเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือมีผลงานมากมายครับ แต่เป็นเพราะสุสานของพระองค์ที่ถูกค้นพบ เป็นสุสานที่สมบูรณ์มากที่สุด เนื่องจากไม่ค่อยมีร่องรอยการถูกขโมยเหมือนสุสานของฟาโรห์องค์อื่นๆ โดย Howard Cater ในปี 1922
Tutankhamun เป็นฟาโรห์ที่มีอายุน้อยมาก คาดว่าเสียชีวิตตั้งแต่อายุประมาณ 18-19 ปีด้วยสาเหตุที่ยังไม่ทราบแน่ชัด หลักฐานทางวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าเสียชีวิตจากโรคมาลาเรีย แต่ไม่มีใครเชื่อ (โดยเฉพาะไกด์หลายคนที่นี่ เพราะเชื่อว่าถูกฆาตกรรมมากกว่า เนื่องจากพบรูตรงด้านหลังของกระโหลกศีรษะซึ่งไม่น่าใช่รูที่เจาะเอาสมองออกตอนทำมัมมี่ เพราะปกติเขาจะเจาะเอาสมองออกทางจมูกด้านใน)
แผนผังสุสาน
ผนังทุกด้านของห้องบรรจุมัมมี่เดิม ตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่ยังคงสมบูรณ์มาก
ผนังทางด้านทิศเหนือ เป็นรูปการเดินทางไปยังโลกหลังความตาย
ผนังทางทิศตะวันตก มีรูปลิง (baboons) ซึ่งแทนจำนวน 12 ชั่วโมงที่ Tut ต้องใช้เวลาเดินทางไปยังโลกหลังความตาย โดยการใช้เรือ (ทางด้านมุมบนซ้าย)
ผนังทางทิศใต้ ถูกทำลายไปบ้างเพราะเป็นผนังที่ถูกเจาะต้องเข้าสำรวจสุสาน รูปที่เหลือเป็นรูปของ Tut และเทพ Anubis และเทพ Hathor
ผนังทางทิศตะวันออก เป็นรูปการเคลื่อนพระศพ
ปัจจุบันร่างมัมมี่ของฟาโรห์ Tutankhamun ถูกจัดแสดงอยู่ที่นี่ครับ เห็นรูปตอนค้นพบแขนยังอยู่ในท่า royal position (ยกมาไขว้กัน) อยู่ครับ แต่ปัจจุบันเหยียด คาดว่าเพราะหักตอนกระบวนการพิสูจน์หลักฐาน (ผมเดาเอาเองครับ เพราะเห็นรูปใน google หักออกเป็นท่อนๆ เอามาวางเรียงกัน)
Temple of Ramses II หรือ The Ramnesseum
ผมดูแต่ภายนอก ไม่ได้เข้าไปครับ ไกด์เขาบอกว่าไม่มีอะไรให้ดูเพราะวิหารพังไปมากแล้ว
Temple of Hatshepsut
เป็นวิหารที่สร้างโดยฟาโรห์ Hatshepsut ซึ่งเป็นฟาโรห์ผู้หญิงที่โด่งดัง เพราะปกติแล้วฟาโรห์จะต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น เดิม Hatshepsut เป็นชายาของฟาโรห์ Tuthmose II เมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์ ผู้ซึ่งจะขึ้นครองราชย์ต่อจริงๆ ต้องเป็นพระโอรส คือ Tuthmose III ซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของพระนาง Hatshepsut แต่เนื่องจากตอนนั้นยังทรงพระเยาว์มาก พระนาง Hatshepsut จึงต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน แต่จากนั้นไม่นานพระนางก็สถาปนาตนเองเป็นฟาโรห์ มีเรื่องเล่าว่า เพื่อเป็นที่ยอมรับพระนางจึงได้แต่งเรื่องว่าตนเองเป็นบุตรของเทพ Amun ซึ่งมาหลับนอนกับพระมารดาของพระนาง พระนางจึงเปรียบเสมือนบุตรของเทพเจ้า นอกจากนี้พระนางยังใส่เคราปลอมให้มีสัญลักษณ์คล้ายเป็นผู้ชายด้วย ซึ่งเราสามารถสังเกตเห็นจากรูปสลักต่างๆ ได้ครับ ว่าลำตัวจะเป็นผู้หญิงส่วนศีรษะจะมีหนวดเคราติดอยู่ที่คางด้วย
แต่เมื่อฟาโรห์ Hatshepsut สิ้นพระชนม์ Tuthmose III ก็กลับมาครองราชย์ต่อ และด้วยความแค้นที่ถูกชิงบัลลังก์ไป พระองค์จึงสั่งทำลายทุกอย่างที่เป็น Hatshepsut ไม่ว่าจะเป็นรูปสลัก ภาพวาด หรือแม้กระทั่ง Cartouch ต่างๆ ที่เป็นชื่อของพระนางทิ้งไป ทำให้เรื่องราวของพระนางหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์พอสมควรครับ จึงได้ชื่อเรียกว่า “The Lost Queen” ลองดูเรื่องราวของพระนางและการขุดค้นได้ที่ คลิปนี้ ครับ น่าสนใจทีเดียว
วิหารในบริเวณนี้ปกติจะมี 3 ที่ติดกัน คือ Temple of Mentuhotep (ซ้ายสุดในรูปด้านบน), Temple of Tuthmose III (กลาง) และ Temple of Hatshepsut (ขวาสุด) แต่ปัจจุบันเหลือให้เห็นสมบูรณ์หน่อยก็แต่ Temple of Hatshepsut ส่วนอีกสองแห่งพังไปเกือบหมด
ชั้น 1 ไม่ได้ให้เข้าชม เลยเดินขึ้นมาดูกันที่ชั้น 2 ก่อนครับ
Anubis Chapel
Hathor Chapel
ขึ้นมาที่ระเบียงชั้น 3 จะมีรูปสลักของพระนาง แต่ส่วนใหญ่ถูกทำลายไปแล้ว ที่เห็นเป็นตัวสมบูรณ์นี่คือ บูรณะใหม่ครับ ที่พังๆ เป็นศีรษะที่เขาตั้งไว้ให้ดูด้านข้าง และมีอันที่สมบูรณ์หน่อยอยู่ที่ Egyptian Museum ที่ลงรูปให้ดูไว้ในตอนที่ 1 ครับ
Sanctuary of the Sun
ถ้าอยากเห็นร่างของ มัมมี่ของ Hatshepsut จะถูกแสดงอยู่ที่ Egyptian Museum ห้อง Royal Mummies Gallery ครับ สภาพมัมมี่สมบูรณ์ดีมาก ยังเห็นเล็บยาวๆ อยู่เลย
เนื่องจากเรื่องราวของพระนางหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่ง ทำให้ไม่มีใครรู้ว่ามัมมี่ของพระนางนี่อยู่ไหน จึงมีการสืบค้นจากมัมมี่ที่ค้นพบหลายร่างจนพบ มีสารคดีการค้นหาร่างมัมมี่ของ Hatshepsut ลองดูได้ตาม คลิปวิดิโอ หรือ เว็บนี้ ครับ น่าสนใจดี
Valley of the Queens
ที่ Valley of the Queens เราสามารถเข้าได้ทั้งหมด 2 แห่งฟรีครับ ส่วนที่อยากเข้าที่สุดคือ Tomb of Nefertari (จุดสีแดงในแผนที่ด้านล่าง) ซึ่งเป็นสุสานที่มีขนาดใหญ่และสวยงาม แต่เสียค่าเข้าเพิ่ม 1,000 อียิปต์ปอนด์!! ดูจากราคาก็น่าจะสวยจริงครับ แต่เพื่อนร่วมทริปไม่เล่นด้วย เลยไม่ได้เข้าครับ
Tomb of Amenherkhepshef (QV55)
เป็นพระโอรสของฟาโรห์ Ramses III และ Titi ซึ่งเสียชีวิตตั้งแต่อายุแค่ 15 ปี ภายในสุสานมีโครกระดูกเด็ก ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่ามีความสัมพันธ์กับ Amenherkhepshef อย่างไร โดยภาพสลักที่ผนังจะเป็นฟาโรห์ Ramses III พา Amenhekhepshef ไปพบเทพเจ้าองค์ต่างๆ
Tomb of Khaemwaset (QV44)
เป็นพระโอรสอีกพระองค์หนึ่งของ Ramses III ซึ่งเสียชีวิตในวัยเยาว์เช่นเดียวกับ Amenherkhepshef ซึ่งยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าพระมารดาคือใคร
Tomb of Tyti (QV52)
พระนางเป็นพระมเหสีของ Ramses III
Tomb of Nefertari (QV66)
สุสานนี้ไม่ได้เข้าครับ เพราะต้องเสียค่าเข้าเพิ่มซึ่งแพงมาก (1,000 อียิปต์ปอนด์!) จริงๆ จะเข้าแล้ว แต่มติเพื่อนๆ ที่ไปด้วยไม่มีใครเข้าครับ เลยอด (เสียดายมากๆ) มันต้องสวยและสมบูรณ์มากๆ แน่ๆ
Valley of the Nobles
เป็นสุสานของเหล่าขุนนาง นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมาที่นี่กัน แต่จริงๆ มีหลายสุสานที่สวยและบอกเรื่องราวประวัติศาสตร์ได้ดีครับ อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าพวกภาพวาดหรือภาพสลักบนกำแพงของสุสานขุนนางนี้ ไม่ได้มีแค่เรื่องราวชีวิตหลังความตายอย่างเดียว แต่จะมีวิถีชีวิตต่างๆ ให้ได้ศึกษาด้วย (ในสุสานห้ามถ่ายรูป)
Tomb of Rekhmire
เป็นสุสานขุนนางที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม มีรายละเอียดเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเกษตร ทั้งสีสันและภาพวาดค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียวครับ
Tomb of Sennofer
เป็นสุสานที่มีสีสันสดใสมาก ทำให้คิดว่าเป็นสีที่แต้มลงไปใหม่ พวกเราลงความเห็นว่า “ลงสีใหม่แน่นอน” 555 แต่ไปถามไกด์ เขาก็ยังยืนยันว่าเป็นสีดั้งเดิมหลายพันปีแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ
หลังคาสุสานเป็นรูปองุ่น ซึ่งเขาว่าว่าเป็นสัญลักษณ์ของการทำไวน์
Madinet Habu
หรือ Temple of Ramses III
East Bank
ที่เที่ยวใน East Bank อยู่ไม่ไกลกันมากครับ สามารถเดินถึงกันได้ในระยะประมาณ 3-4 กิโลเมตร วันนี้ผมไม่ได้ใช้ทัวร์ครับ เดินเที่ยวกันเอง เพราะระยะทางไม่ไกล ไม่ต้องใช้รถ
Karnak Temple
เป็น Temple Complex ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สร้างในหลายยุคหลายสมัย จึงประกอบไปด้วยวิหารและโถงของฟาโรห์หลายพระองค์ เพื่อเป็นการบูชาเทพเจ้า Amun และเทพอีกหลายพระองค์
ภาพจำลองวิหาร Karnak
ด้านหน้าของวิหารเป็นแถวของ Sphinx ที่มีศีรษะเป็นตัว ram (น่าจะเป็นแกะ) ตัวเป็นสิงโต ซึ่งต่างจาก Sphinx อื่นๆ ที่มีศีรษะเป็นคน แถวของ Sphinx นี่เขาว่าเดิมยาวตรงไปจนถึง Luxor Temple เลยเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตรเห็นจะได้
เป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่มากเดินกันจนเหนื่อยครับ แต่เพลิน เพราะสวยมาก
Temple of Seti II
Temple of Ramses III
Great Hypostyle Hall
Obelisk of Hatshepsut
Fallen Obelisk of Hatshepsut
Sacred Lake
Luxor Temple
เริ่มก่อสร้างในยุคสมัยของฟาโรห์ Amenhotep III ในช่วง New Kingdom และมีการสร้างเพิ่มเติมต่อมาในหลายยุคหลายสมัยโดยเฉพาะในสมัยของ Ramses II
ผมแวะมาที่นี่ตอนเย็นครับ เพราะกลางวันเดินลุยที่ Karnak Temple และพิพิธภัณฑ์จนเกือบหมดวัน และร้อนด้วย เลยมาเย็นดีกว่า จะได้ดูวิววิหารที่เปิดไฟกลางคืนด้วย แต่จริงๆ มากลางวันจะได้เห็นรายละเอียดภาพจิตรกรรมได้ดีกว่านะครับ (ยังเสียดายอยู่หน่อยๆ)
แถวของ Sphinx เริ่มสร้างโดยฟาโรห์ Nektanebo
ด้านหน้าวิหารเดิมจะมีเสา Obelisk 2 เสา แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 1 เสา เพราะอีกเสาหนึ่งได้ถูกมอบให้เป็นของขวัญแก่ประเทศฝรั่งเศสและถูกนำไปตั้งไว้ที่กรุงปารีส (La Place de le Concorde) ในปี ค.ศ. 1819 เพื่อแลกกับนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ตอนนี้ตั้งอยู่ที่กรุง Cairo (ซึ่งนาฬิกาได้ตายไปตั้งแต่ขนมาถึงอียิปต์แล้ว….ไปแลกมาเนี่ยไม่รู้คุ้มหรือเปล่า น่าเสียดายมาก) ตามรูปด้านล่าง
รูปสลักของฟาโรห์ Ramses II ด้านหน้าวิหาร เบื้องหลังของรูปสลัก เดิมจะมีภาพเกี่ยวกับการทำสงครามของฟาโรห์ แต่ปัจจุบันเลือนหายไปเยอะแล้ว
Great Court of Ramses II และทางเดินไปสู่วิหารของ Amenhotep III
Sanctuary of Amenhotep III
Luxor Museum
เป็นอีกพิพิธภัณฑ์หนึ่งในอียิปต์ที่ควรแวะมานอกเหนือจาก Egyptian Museum ใน Cairo ครับ จำนวนของที่จัดแสดงน่าจะมีไม่ถึง 1 ใน 100 ของที่ Cairo แต่มีความสำคัญไม่แพ้กันครับ ถ้ามีโอกาสน่าจะแวะมาครับ ที่นี่ถ้าจะถ่ายรูปต้องเสียเงินเพิ่มเช่นเดียวกันครับ (50 อียิปต์ปอนด์)
รูปสลักของฟาโรห์ Tuthmosis III ที่งดงามมากๆๆๆ
Cartouch ของ Tuthmosis I และ III บนผนังวิหาร
รูปสลักของ Amenhotep III ค้นพบในวิหารของพระองค์ที่ Valley of the Kings
ฟาโรห์ Seti I
ฟาโรห์ Tuthmosis IV (Akhenaten) พระองค์ได้เปลี่ยนความเชื่อในเทพเจ้าครั้งยิ่งใหญ่ของอียิปต์โบราณ โดยการรวมเทพเจ้าให้นับถือเทพเพียงองค์เดียว (เดิมอียิปต์นับถือเทพหลายองค์) และเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรูปสลักให้มีลักษณะพิเศษคือ มีใบหน้าเรียวยาว
ห้องแสดงเกี่ยวกับการศึกสงครามในยุค Thebes
Wall of Amenhotep IV
ห้องแสดงมัมมี่ของฟาโรห์ ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นใครแต่คาดว่าอาจจะเป็นฟาโรห์ Ramses I
ฟาโรห์ Ahmose
รูปสลักและสิ่งของแสดงอื่นๆ ในพิพิธภัณฑ์
Mummification Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่แสดงทุกอย่างเกี่ยวกับมัมมี่ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทำ อุปกรณ์การทำ ตัวอย่างมัมมี่ทั้งคน และสัตว์ (ใครว่ามัมมี่มีแต่คน!!) เป็นอีกที่ที่ผมชอบมากครับ ที่นี่ถ่ายรูปได้แต่ต้องเสียเงินเพิ่มเช่นกันครับราคา 50 อียิปต์ปอนด์)
ภายในมีแสดงภาพจำลองการทำมัมมี่ อุปกรณ์การทำมัมมี่ และมัมมี่หลากชนิด ที่น่าแปลกคือมีมัมมี่สัตว์มากมายครับ เขาจะทำเพื่อเป็นการบูชาเทพที่นับถือ เช่น จระเข้ เพื่อบูชาเทพ Sobek ที่ศีรษะเป็นจระเข้ (อย่างที่เราเห็นที่ Kom Ombo) เป็นต้นครับ หรือไม่ก็ด้วยความเชื่อที่ว่าให้เป็นเครื่องบรรณาการแก่มัมมี่ในโลกหน้า มีให้เห็นทั้ง ลิง ปลา ลูกจระเข้ แมว และเป็ด!
ถ้าสนใจมัมมี่ อาจจะมีตอนต่อไปครับ จะพาดูอย่างละเอียดและเล่าเรื่องราวของมัมมี่ด้วยครับ กดตามลิงค์นี้ เลยครับ
เต็มอิ่มกับประวัติศาสตร์อันยาวนานกับสถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้างที่สวยงาม อลังการ ที่หลายที่ยังคงสมบูรณ์มาก ทำให้เป็นเสน่ห์ที่ควรจะมาเยือนให้ได้ซักครั้งครับ (แต่จะมีครั้งต่อไปหรือเปล่านี่อีกเรื่องนึงครับ) ขอบคุณที่ติดตามกันมาอย่างยาวตั้งแต่ตอนที่ 1 ครับ