เกาะใต้นิวซีแลนด์ดินแดนในฝันของหลายคนที่อยากจะไปสัมผัสให้ได้ซักครั้ง ผมเลือกช่วงเข้าฤดูร้อนเพราะ “เชื่อว่า” อากาศดีที่สุด วิวสวยที่สุด ลงตัวที่ต้นเดือนธันวาคม เพราะมีวันหยุดหลายวัน จะได้ไม่ต้องลางานหลายวัน (เดี๋ยวหมด) วางแผนซะอย่างดิบดี แต่มันก็ต้องมีอุปสรรคกันบ้าง จะเป็นอะไรลองมาติดตามกันครับ
- ลิงค์ รีวิวการขอวีซ่าแบบกลุ่มนิวซีแลนด์ >>> คลิ๊ก!
ปกติเวลาไปเที่ยว ผมมักจะวางแผนแบบค่อนข้างละเอียด (วันไหนไปไหน พักที่ไหน แต่ไม่ได้ถึงขนาดเป๊ะแบบต้องกี่โมงๆ) เพราะเวลามันจำกัดและอยากเที่ยวให้ครบตามที่เขารีวิวกันไว้ ทำให้ถ้ามีปัญหาคลาดเคลื่อนอะไร มันจะปรับแผนลำบาก แต่โชคดีที่ที่ผ่านมา มักไม่ค่อยมีปัญหายิ่งใหญ่มากนัก มักจะได้ตามแผนเสมอ
แต่….รอบนี้สงสัยไม่ได้พกดวงมา ตั้งแต่ก่อนไปเช็คพยากรณ์อากาศก็ เอ๊ะ…ทำไมหน้าร้อนฝนมันตกทุกวันเลย (ฟระ) แต่ก็ต้องใจดีสู้เสือแล้วไปลุ้นเอาดาบหน้า เสียดายที่พยากรณ์ดันแม่น ฝนก็ตก ฟ้าก็ครึ้มจริงๆ แต่ที่แย่กว่านั้นคือ ปริมาณน้ำฝนที่ตกติดต่อกันมา 2 อาทิตย์ก่อนหน้าที่พวกเราจะไป ดันมาออกอิทธิฤทธิ์กันช่วงที่เราไปพอดี
- ลิงค์ EP. 2 ดวงยับเยินยังไงก็สวย >>> คลิ๊ก!
สารบัญ
บ่นซะก่อน
แต่ก่อนจะเล่าถึงภัยพิบัติ มาเล่าเรื่องตื่นเต้นเรื่องแรกกันก่อน หลังจากลงเครื่องที่ Chritchurch แล้ว เราก็มารับรถกันที่ Apex rental cars center ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน ที่เลือกบริษัทนี้เพราะราคาไม่แพง (แต่รับรถนอกสนามบิน มีรถรับส่งฟรี และรถอาจจะเก่าหน่อย แต่ใช้งานได้ดีครับ ราคาถูกกว่าบริษัทที่มีเคาน์เตอร์ในสนามบินเป็นหมื่นในราคาที่เราเช่ากัน 8 วัน) ชอบบริษัทนี้ตรงที่เราสามารถ add driver ได้ฟรีกี่คนก็ได้ จะได้ผลัดกันขับแบบไม่ต้องวิตกกังวล ขั้นตอนการรับรถก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกับประเทศอื่นเลย ผม add driver รวมทั้งหมด 3 คน มันพีคตอนที่เจ้าหน้าที่บอกว่าอีก 2 คนไปรอด้านหลังนะ พร้อมหยิบปึก flip chart ขนาด A4 ออกมา พร้อมบอกว่า
“เดี๋ยวจะมีแบบทดสอบให้ทำ ต้องตอบถูก 100% ถ้าผิด จะต้องไปดูวิดิโอแล้วมาสอบใหม่ ถ้ารอบสองยังไม่ผ่าน ยูจะไม่ได้ขับนะ”
แป่วววว….เอาล่ะสิ
จริงๆ แล้วก่อนวันเดินทาง เขาจะส่งอีเมล บอก ลิงค์ศึกษาวิธีการขับรถ พร้อมเอกสารมาให้ก่อนด้วยนะครับ ผมก็อ่านไป แต่อ่านผ่านๆ แบบว่า อ่อๆ รู้แล้ว ขับพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเราไม่น่ามีปัญหา แต่พอเอาเข้าจริง สถานการณ์ที่เขายกตัวอย่างมามันชวนงงมาก โจทย์มันจะเป็นแบบรูปภาพ ว่ามีรถวิ่งมาทางนั้นทางนี้ แล้วถามว่าใครไปก่อน อะไรประมาณนี้ สรุปว่า รอบแรกไม่ผ่านทั้ง 3 คน (ฮา) ต้องไปยืนเรียงกันดูวิดิโอ (ซึ่งก็ดูมาแล้วจากลิงค์ที่เขาส่งมาให้ทางอีเมล แล้วในวิดิโอนั้นมันก็ไม่มีสิ่งที่เขาถามนะ!) เสร็จแล้วเราก็ discuss หน้าดำหน้าแดงกันอยู่เกือบ 15 นาที และให้เพื่อนที่ไปด้วยกันโทรถามเพื่อนที่อยู่นิวซีแลนด์ว่าหลักการมันควรจะเป็นยังไง เสร็จแล้วก็ทยอยไปสอบกันใหม่ด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ แต่ก็ผ่านมาจนได้ (รอบสองนี่ถ้าเขาเห็นเราติดขัดจะมีบอกใบ้เล็กๆ น้อยๆ ด้วย แต่ถ้ายังตอบไม่ได้ เขาไม่ให้จริงๆ นะครับ มีคนอินเดียข้างๆ ไม่ผ่านสองรอบก็ไม่ได้ add driver จริงๆ) เรื่องการสอบนี่ผมว่าแล้วแต่นโยบายของบริษัท เพราะเจ้าอื่นก็ไม่เห็นเขาต้องสอบอะไรเลย แต่ก็เป็นมาตราการที่ดีมาก เดี๋ยวไว้จะมาเล่าเรื่องข้อสอบให้ฟังตอนท้ายอีกที
หลังจากรับรถเราก็ออกเดินทางกันตามแผนไม่มีอะไรพิเศษ แต่เริ่มต้นวันที่ 3 ของการเดินทาง เราเก็บข้าวเก็บของเพื่อออกจากที่พักใน Hokitika กันเพื่อจะมุ่งหน้าไป Franz Josef Glasier อันโด่งดัง แต่แล้วพอกด google map เอ๊ะ….ทำไมมันให้อ้อมไปอีกทาง เลยเข้าเว็บเช็คสภาพถนนของนิวซีแลนด์ดู โอ้วแม่เจ้า! ถนนเลียบชายฝั่งทางตะวันตกเสียหายและปิดเพราะน้ำท่วม! ทำให้เราต้องไปตามที่อากู๋แนะนำ โดยการขับอ้อมเกาะใต้ไปทางเดิมที่เราเดินทางมาเมื่อวาน เบ็ดเสร็จต้องขับเพิ่มไปอีก 400 กิโลเมตร เพื่อให้ไปถึง Wanaka ซึ่งจะเป็นที่พักของเราในคืนถัดไป (ต้องตัดโปรแกรมเที่ยว Glacier ทั้งหลาย, Lake Matheson, Blue Pool Walk ออกจากโปรแกรมเราวันนั้นไปโดยปริยาย)
แต่! ภัยพิบัติยังไม่หมดแค่นั้น เราขับย้อนกันมาได้เกือบชั่วโมง ถนนปิดอีกแล้วครับท่าน เลยได้ถอยมาตั้งหลักกันที่คาเฟ่ใกล้ๆ (โชคดีเพื่อนตาไว เห็นมีคาเฟ่อยู่ก่อนถึงจุดที่ถนนปิด ขับย้อนมานิดเดียว) ที่คาเฟ่นี้ มีตัวกอลลัมเป็นสัญลักษณ์ เหมือนมันจะบอกว่า “อย่าไปต่อเลยไอ้หนู หายนะกำลังรอเจ้าอยู่” พร้อมกับแสยะยิ้มอย่างสะใจ
ภายในคาเฟ่ มีนักเดินทางเกือบ 30 ชีวิตอัดอยู่กันแน่น มีครอบครัวนึงประสบชะตากรรมแบบเดียวกับเราเปี๊ยบ ต่างคนต่างก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะเจ้าของร้านก็ไม่รู้ถนนจะเปิดไหม เราเลยนั่งกินกาแฟรอ จนอยู่ๆ คนก็หายกันไปหมด ถามเจ้าของร้านอีกทีบอกว่า ถนนเปิดแล้ว เย้! หลังจากอารมณ์ดีกัน ก็เริ่มสังเกตเห็นความชิคๆ ของการตกแต่งร้าน (555 ก่อนนี้มองอะไรไม่เห็นละ มัวแต่เซ็ง) เลยถ่ายรูปเล่นกันก่อนจะออกเดินทางกันต่อ
ผ่านร้าน Sheffield Pie Shop อันโด่งดังอีกครั้ง เลยแวะ กินๆๆๆ กัน โดยยังไม่รู้ว่า ยังมีอุปสรรครอพวกเราอยู่ข้างหน้าอีก
สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร
สุขใจกันอยู่ได้ไม่นาน เราขับกันต่อมาอีกประมาณชั่วโมงกว่า ก็เห็นรถของนักท่องเที่ยวจอดกันเป็นตับตรงสี่แยก แล้วเราก็เห็นว่า เส้นที่เราจะเลี้ยวต่อลงทางใต้ ปิด!!!
หลังจากที่คุยกันเอง คุยกับเจ้าหน้าที่ คุยกับ google map ก็ได้ความว่า เส้นเลี่ยงลงทางใต้ยังเหลืออีก 1 เส้น (ย้ำ ความหวังของเราเหลืออีกแค่ 1 เส้นเท่านั้น…เกาะใต้มีถนน 3 เส้นเชื่อมทางเหนือและใต้ แค่นี้น่ะเหรอ!!!) เลยสวดมนต์พร้อมขับรถไปกันต่อ บทสรุปเหมือนเดิม ถนนปิด!!! จบข่าว
เจ้าหน้าที่บอกกับพวกเราว่า พรุ่งนี้เช้าอาจจะเปิดเพราะน้ำมักมาเร็วและลงเร็ว “แต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่เกิดมาเป็นสิบปีแล้วนะ” (เซ็ง) เราเลยต้องตัดสินใจหาที่พักแถวนั้นหรือไม่ก็กลับไปพัก Christchurch เพื่อรอข่าวพรุ่งนี้เช้าว่าถนนจะเปิดไหม แต่ที่พักมันหายากมาก เพราะนักท่องเที่ยวหลายคนก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน เช็คใน booking.com มีว่างอยู่ 1 ที่ราคาไม่แพง เผลอหันไปคุยกับเพื่อนแป๊บเดียว พอกดจองปุ๊บ…เต็มละจ้า
เลยต้องเสี่ยงดวงขับวนกันที่เมืองใกล้ๆ ชื่อ Ashburton จนเกือบจะถอดใจเหลือโรงแรมสุดท้ายเข้าไปดู ปรากฏมีเหลือ 2 ห้องสุดท้ายพอดี ราคาเอาเรื่องอยู่ แต่เนื่องจากมีหลายครอบครัวต้องการห้องเหมือนกัน คุณป้า reception เลยเสนอว่าให้พวกเรา 5 คนอัดกันอยู่ใน 1 ห้อง ส่วนอีกห้องแบ่งให้อีกครอบครัวดีไหม เราตอบแบบไม่ลังเลว่า “เอา!” เพราะค่าห้องจะถูกลงไปอีกเกือบครึ่ง (มีที่นอนแล้วตรู พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น รีบเช็คเว็บแต่เช้า แต่ถนนมันก็ยังไม่เปิดอยู่ดี แต่เราก็ยังทู่ซี้ขับรถกลับไปยังจุดเกิดเหตุเพราะไม่แล้วใจ 555 สรุปถนนก็ยังปิดอยู่ คราวนี้เจ้าหน้าที่บอกแบบไม่ถนอมน้ำใจว่า อีก 2 วันก็อาจจะยังไม่เปิด พวกเราก็หน้าถอดสีกัน เอาไงดีหว่า เจ้าหน้าที่ก็บอกติดตลกว่า
“ถ้ายูจะไปก็ต้องบินข้ามไปแหละ” (พร้อมทำมือสองข้างกระพือปีกแบบนก)
(ตรูไม่มีอารมณ์มาตลกด้วยนะ)….แต่ก็ถูกของเขา เราเลยตัดสินใจใช้เงินแก้ปัญหา แวะหาร้านอาหารแถวนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์เพื่อกดๆๆ หาเที่ยวบิน ซึ่งหายากมาก เพราะเต็มๆๆๆ (เราไปกัน 5 คน หลายเที่ยวบินเหลือแค่ 1-2 ที่นั่ง) แต่สุดท้ายก็หามาได้ไฟลท์นึงในวันรุ่งขึ้น แต่ราคาแรงไปนิด แต่ทำไงได้ ถ้าเราเสียเวลาแถวนี้อีก ก็ไม่รู้อีกกี่วันจะได้ข้ามลงจุดหมายทางใต้ซะที แถวนี้ก็ไม่มีอะไรเที่ยวด้วย และเผลอๆ ถ้าขับลงไปได้ แต่ขับกลับขึ้นมาไม่ได้อีก จะซวยหนักเพราะคงโดนไล่ออกจากงานเพราะไม่กลับไปทำงาน
หลังจากหาเที่ยวบินได้แล้ว ก็วิ่งเล่นกันในทุ่งลาเวนเดอร์ของร้านอาหารนั่นแหละครับ รูปล่างนี่ถ่ายได้หน้าชัดหลังเบลอดีแท้ (เสียดายที่ตัวคนอยู่หลัง เลยเบลอซะงั้น….แต่ถึงรูปไม่ชัดก็อารมณ์ไม่เสีย ได้บินแล้ว 555)
ฟ้ายังต้องมีฝน แต่ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ
เนื่องจากเป็นไฟลท์วันรุ่งขึ้น วันนี้เราจึงต้องหาที่สิงสถิต สรุปถามเจ้าถิ่นซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อน ก็ลงตัวที่เมืองชายฝั่งเล็กๆ ใกล้ๆ คือเมือง Akaroa ไปถึงก็เย็นแล้ว ร้านรวงปิดหมด แต่เป็นเมืองเล็กที่สวยทีเดียว พวกเราทำอะไรกินกันและเดินเที่ยวถ่ายรูปชิลๆ และเข้านอนเพื่อเริ่มต้นเดินทางกันต่อพรุ่งนี้
บรรยากาศช่างสมกับเป็นฟ้าหลังฝนจริงๆ ลองดูรูปล่าง ด้านซ้ายเป็นชายหาดที่ Hokitika เช้าวันที่น้ำท่วมถนนปิด กับ ด้านขวาเป็น Akaroa สีสันสดใสในวันที่เราจะได้เดินทางต่อแล้ว 🙂
วิวของเมือง Akaroa ยามเย็น
ระหว่างที่เที่ยวเล่นกันใน Akaroa ผมก็พยายามติดต่อที่พักที่ Wanaka ที่เคยจองไว้นอน 2 คืน จริงๆ ผมเคยติดต่อทางอีเมลไปตั้งแต่วันก่อนเข้าพักตอนที่ถนนปิดว่าไปไม่ทัน ขอยกเลิกได้ไหม แต่คุณท่านไม่ตอบกลับเลย โทรไปก็ไม่รับ ฝากข้อความเสียงก็ไม่ตอบกลับ วันต่อมาเลยอีเมลไปอีกทีบอกว่าถ้าถนนเปิดจะขอ hold ไว้คืนนึงไม่ต้องคืนเงินก็ได้ คุณท่านถึงยอมตอบกลับสั้นๆ ว่า “หวังว่าคุณจะมาได้นะ” (ตรูก็หวังไว้แบบนั้นเหมือนกัน)
สุดท้ายเมื่อไปไม่ได้จริงๆ เลยอีเมลไปขอความกรุณายกเลิกให้หน่อยหรือ partial refund ก็ยังดี โดยให้ booking.com ช่วยด้วย ซึ่ง booking.com ช่วยได้เยอะมากครับ (เป็น live chat) เขารับเรื่องแล้วโทรติดต่อที่พักให้เลยและช่วยต่อรองให้ แต่สรุปว่าที่ Mcdougall Cottage ที่ Wanaka ยังใจแข็งไม่ยอมให้ยกเลิก บอกว่าก็ไปขอเบิกประกันเดินทางเอาสิ จบข่าว…แต่อีกโรงแรมนึงที่เราติดต่อยกเลิกเพราะวันสุดท้ายต้องย้ายมานอนใกล้สนามบิน Queenstown คือ Lake Tekapo Village Motel ยินยอมให้เรายกเลิกพร้อม full refund ให้ทั้งที่เลยกำหนด free cancellation แล้ว
และแล้ว…วันรุ่งขึ้นเราก็มาถึงสนามบิน Queenstown จนได้ จะได้เที่ยวต่อกันซักที หลังจากลงเครื่องก็มารับรถที่บริษัท Apex ที่ให้ความกรุณาเรามารับรถที่นี่ใช้ต่อได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม (และไม่ต้องสอบใหม่ เย่!)
โชคดีที่หลังจากนี้ไม่มีปัญหาอะไรนัก มีแต่อึ้งเป็นช่วงๆ กับ “สิ่งที่คิด กับสิ่งที่เห็น” มันไม่ค่อยจะตรงกันซักเท่าไร (ฮา) รูปสิ่งที่คิดนี่เอามาจากอินเตอร์เนต ส่วนรูปขวานี่ถ่ายตอนไปจริง ที่เที่ยวหลายที่โดนน้ำท่วมเพราะระดับน้ำในทะเลสาบขึ้นสูงมาก ทั้ง That Wanaka Tree, ทุ่งดอกลูปินที่ Lake Tekapo และสีน้ำของ Hokitika Gorge ซึ่งมันควรจะเป็นสีฟ้าสดใส แต่น้ำป่าคงชะดินโคลนลงมาด้วย กลายเป็นสีน้ำตาลไปเลย
จุดหมายปลายทางไม่สำคัญเท่าเรื่องราวระหว่างทาง
สรุปว่า จากทริปมหันตภัยนี้ ไม่ได้มีแต่ความผิดหวังไปซะทั้งหมด ข้อความด้านบนเป็นความจริงอย่างที่สุดครับ
- เพื่อนร่วมทางที่ดี ทำให้เรื่องที่ไม่ดี กลายเป็นเรื่องที่มีความสุขและน่าจดจำขึ้นมาได้
- การค้างเติ่งเพราะเดินทางไม่ได้ ทำให้เราค้นพบเมืองเล็กๆ ที่มีเสน่ห์หลายเมือง คือ Akaroa และ Lyttelton
- ขอบคุณ Apex Rental Car ที่ให้โยกย้ายการเช่ารถได้โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเลย
- ขอบคุณ booking.com ที่ช่วยประสานงานการยกเลิกที่พักได้อย่างดีและรวดเร็ว
- ขอบคุณ Lake Tekapo Village Motel ที่เข้าใจว่าเราไม่สามารถเข้าพักได้ด้วยเหตุสุดวิสัยและให้ยกเลิกฟรี ส่วนที่ Mcdougall Cottage ที่ Wanaka นั้น ก็เข้าใจว่ามันเป็นธุรกิจและยึดมั่นตาม term and condition (555 ยังมีแอบเหน็บ เขาไม่ผิดแต่ไม่มีน้ำใจ)
- ยังโชคดีที่มันแค่น้ำท่วม ทำให้เรายังสามารถมีแผนสำรองได้อีกคือการบินข้ามไป นี่ถ้าเป็นพายุหนักๆ แผ่นดินไหว คงจบเห่ (จริงๆ ช่วงนั้นมีภูเขาไฟที่ White Island ระเบิดด้วย แต่มันอยู่ห่างไปทางเกาะเหนือ เลยไม่มีผลกระทบอะไร)
เล็กๆ น้อยๆ กับการเช่ารถที่ Apex
- ดูรายละเอียดและเช่ารถได้ที่ ลิงค์นี้ ครับ
- ใช้ใบขับขี่ไทยแบบแถบแม่เหล็กที่มีชื่อภาษาอังกฤษได้เลย (เขาไม่ขอดูใบขับขี่สากลที่ทำมาเลย)
- ขั้นตอนการจอง การรับรถ เหมือนที่อื่นๆ
- ซื้อประกันแบบ zero excess ไว้ได้เลยตั้งแต่ตอนจองออนไลน์ จะถูกกว่ามาซื้อหน้างาน
- ที่ชอบที่สุดคือ add driver ได้ฟรี กี่คนก็ได้
- เช่า GPS ด้วยดีไหม? ความเห็นส่วนตัว ไม่ต้องใช้ครับ ส่วนใหญ่ใช้ google map ได้ แต่หลายช่วงที่สัญญาณอินเตอร์เนตไม่มี ถ้า download offline map ไปด้วย จะช่วยได้มาก ไม่ต้องเสียค่า GPS
- รับรถนอกสนามบิน เขามีรถรับส่งสนามบินฟรี ทำตามคำแนะนำที่เขาส่งมาให้ก่อนวันเดินทาง ถ้าไม่เห็นรถรับ ให้โทรไปบอกเขา เดี๋ยวเขาจะให้รถมารับ โดยใช้ซิมเดินทางที่ซื้อมาจากไทยโทรฟรีได้เลยตามเบอร์ที่เขาบอกว่าเป็นเบอร์ toll free number (ไม่ต้องใช้ line call ให้เสียตังค์)
- เช็คเวลาเปิดของเคาน์เตอร์ให้ดี ถ้าเราจะรับหรือคืนรถนอกเวลา ให้ถามเขาว่ามีขั้นตอนอย่างไร เขาไม่ได้เปิดตลอด 24 ชั่วโมงนะครับ
- รถที่นิวซีแลนด์เป็นพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเราครับ ลองเข้าไปดูกฎจราจรคร่าวๆ ได้ที่ ลิงค์นี้ ครับ
- ทีนี้มาถึงข้อสอบ จะลองยกตัวอย่างกับอธิบายคร่าวๆ ตามตัวอย่างด้านล่างครับ จะเห็นว่าไม่ยาก แต่เวลาสอบจริงก็เล่นเอางงไปได้เหมือนกัน
สุดท้ายก็ต้องปรับแผน
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นแล้วว่า ปกติจะเป็นคนวางแผนเที่ยวแต่ละวันค่อนข้างละเอียด ครั้งนี้ก็เช่นกัน แผนเริ่มแรกที่วางไว้และค่าใช้จ่ายคร่าวๆ กดที่รูปดาวน์โหลดไปดูกันได้เลยครับ ส่วนภาพประกอบกับเส้นทางการเดินทางจริงหลังปรับแผน ดูได้ที่รูปด้านล่างครับ
หมายเหตุ*
- แผนของผมเป็นแค่ตัวอย่าง ไม่ได้เป็นแผนที่ดีที่สุด แต่ปรับจนเหมาะกับทริปตัวเองครับ
- ผมว่าแผนในไฟล์นี่มันแน่นเกินไปครับ เพราะระยะทางขับรถมันไกลพอสมควร ถ้าจะเอาเป๊ะๆ ตามแผน คงอยู่แต่ละที่ไม่ได้นาน ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้ซอยออกและเพิ่มวันอีกซัก 2-3 วันถึงจะกำลังดีครับ
- ถ้าสังเกตดู แผนของผมจะย้อนไปมานิดนึงตอนวันที่ออกจาก Wanaka ไป Mount Cook แล้วค่อยย้อนลงมา Queenstown (คือจริงๆ ลง Queenstown และเที่ยวข้างล่างก่อน ค่อยมาแวะ Mount Cook วันท้ายๆ ก็ได้) ที่ทำแบบนี้เพราะจองที่พักของ Mount Cook และ Milford Sound ไม่ได้ (ทั้งสองที่เป็นที่ๆ ตั้งใจไว้ว่าต้องพักให้ได้) เลยต้องย้อนไปย้อนมานิดนึง ถ้าทำแผนจริงๆ ลองปรับกันดูนะครับ
แต่จากเหตุการณ์ทั้งหมด ทำให้เราเสียเวลาเที่ยวที่วางไว้ไปเกือบ 3 วันเต็มๆ ทำให้ต้องตัดทริปฝั่งตะวันตกตอนบนเกือบทั้งหมด และการเดิน Roys Peak ออก รวมถึงการออกมาถ่ายดาวและทางช้างเผือกที่ Lake Tekapo ออกไปด้วย (จริงๆ รูปล่าช้างนี่จะล่าที่ไหนก็ได้ เพราะที่พักส่วนใหญ่มืดมากอยู่แล้ว แต่มันเหนื่อยมากกก นอนดีกว่า 555)
ใครดูตามแผนในไฟล์ที่ให้ไปข้างบนแล้วงง ลองดูรูปประกอบแล้วกันครับ เผื่อจะงงมากขึ้น เอ้ย เผื่อจะเข้าใจมากขึ้น
วันแรกๆ ยังชิลๆ คงไว้ตามแผนเดิม
เริ่มวันที่ 3 ด้วยข่าวร้าย เลยต้องอ้อมกลับมาทางเดิมทางตะวันออก และทิ้งทริปทางฝั่งตะวันตกทั้งหมด แต่ก็ต้องมาเจอถนนปิดอีก เหมือนหนีเสือปะจระเข้
วันที่ 4 และ 5 รวนไปหมด จนต้องตัดสินใจบินลงไป Queenstown แทน เพราะถนนทุกเส้นถูกปิดหมด
ตอนแรกก็กังวลว่ารถที่จองไว้ 8 วัน จะต้องเสียเงินเปล่าไปครึ่งหนึ่ง และต้องเสียเงินไปเช่าใหม่ที่สนามบิน Queenstown ต้องขอบคุณบริษัทรถ Apex มากที่ให้เราคืนรถคันเดิมก่อนกำหนดได้ที่สนามบิน Christchurch และไปรับรถใหม่และคืนรถอีกทีได้ที่สนามบิน Queenstown โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเลย
วันที่ 6 เริ่มเที่ยวได้ตามเส้นทางในแผนเดิม แต่ยังคงต้องปรับนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าโอเค
วันที่ 7 วันโอ้เอ้ นี้ เดิมที่เราจองทัวร์เข้าถ้ำหนอนเรืองแสง (Glowworm Dell) ไว้ที่ Te Anau แต่น้ำท่วมถ้ำเขาเลยอีเมลมายกเลิก เราเลยออกจาก Queentowns สายๆ หน่อย แล้วไปเก็บ Arrowtown ที่เมื่อวานเรามากันไม่ทัน แล้วก็ช้อปปิ้งของฝากกันที่เมือง Te Anau มีร้านจีนใหญ่และถูก มัวแต่โอ้เอ้เลยทำให้แวะที่เที่ยวตามทาง Milford Road ไม่ทันเลย 555 ไว้ค่อยแวะขากลับพรุ่งนี้แทน
วันที่ 8 เปลี่ยนจากพัก Lake Tekapo เพื่อถ่ายดาวและทางช้างเผือก มานอนเล่น Queenstown แทนเพราะต้องบินกลับ Christchurch แต่เช้า
วันที่ 9 โล่งอก ทริปจบเสียที 555 ว่างเกือบทั้งวันที่ Christchurch เลยหาเมืองใกล้ๆ เที่ยวโดยเช่ารถเพิ่มอีกวันนึง ได้ไปที่เมือง New Brighton และ Lyttelton เมืองเล็กๆ น่ารักๆ
วันที่ 10 บินกลับไทยโดยสวัสดิภาพ
ฝากไว้ซักนิด ข้อคิดตอนวางแผน
- เที่ยวรอบเกาะระยะทางไกลเอาเรื่องครับ ตอนวางแผนแนะนำให้วันนึงขับระยะทางไม่เกิน 300-400 กิโลเมตรพอ จะได้มีเวลาเที่ยวแต่ละที่เยอะหน่อย (เน้นว่า มันเหนื่อยจริงๆ ครับ)
- ถ้าจะเอาทุกที่แบบในแผนดั้งเดิมของผมที่ให้ดูไป แนะนำอย่างต่ำ 12-14 วัน จะได้เที่ยวได้ครบ ไม่รีบร้อน ได้มีเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ ด้วย เช่น เข้าถ้ำดูหนอน ล่องเรือ บันจี้จั้ม แบบไม่เหนื่อยมาก
- จุดเริ่มต้น เริ่มจาก Christchurch หรือ Queenstown ก็ได้
- เที่ยวแบบขับรถวนเป็นลูป จะไปทางตะวันตกหรือตะวันออกก็แล้วแต่สะดวก แต่ก็ต้องเปลี่ยนที่พักบ่อยหน่อย
- เที่ยวช่วงฤดูร้อน ต้ังแต่เดือนธันวาไป ข้อดีคือ อากาศดีไม่หนาวเกิน ไม่ร้อนไป ต้นไม้ดอกไม้สวยมาก (ก.ไก่ล้านตัว) ฝนตกน้อย (แต่ปีผมไป ฝนตก! น้ำท่วม!!! 🙁 ) กลางวันนาน ได้เที่ยวกันจนตาโหลกันไปข้างนึงเลย เพราะกว่าจะมืดก็สามทุ่ม (คือ ไม่มืดเราไม่เข้าที่พัก) แต่ข้อเสียคือ “เหนื่อย” (ตามอายุ 555) อีกช่วงที่น่าสนใจคือ ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี (มีนาคม-พฤษภาคม) เห็นรูปหลายคนก็สวยมากเหมือนกัน
ทุ่งดอกลูปินพบเห็นได้ทั่วไปโดยเฉพาะถนนด้านตะวันออกที่มุ่งลงทาง Queenstown
- ที่พักแล้วแต่ชอบ จะขับรถบ้านก็ได้ หรือจะพักโรงแรมก็ดี ส่วนตัวไม่ชอบอึดอัด เลยขอนอนสบายๆ นอกรถดีกว่า แนะนำเลือกเป็นแบบบ้านหรืออพาร์ตเม้นท์ ที่มีครัวและพื้นที่ส่วนกลาง จะสะดวกและราคาถูกกว่าโรงแรมเป็นห้องๆ มาก พวกผมเน้นแบบอพาร์ตเม้นท์ เพราะไปกัน 5 คน
- ที่พักที่แนะนำในสถานที่สำคัญๆ คือ นอนใน Mount Cook Village เลย ผมแนะนำ Mt Cook Lodge and Motels ที่พักดี วิวดีงาม ใน Mt Cook นี้ยังมีที่พักอีก 2 ที่ คือ Hermitage Hotel เจ้าของเดียวกับ Mt Cook Lodge แต่ราคาแพงกว่า และ Aoraki Court Motel ครับ แต่ผมไม่แนะนำ Aoraki Court Motel เพราะพนักงานมารยาทแย่มาก ตอนจะ check out เดินเข้าไปผิด รร. เพราะวัน check in เรามาถึงกันดึกเลยต้องไปรับกุญแจจากอีกที่นึง เราก็งงว่าตอนคืนกุญแจต้องตึกไหน พื้นที่มันใกล้กัน ต่อๆ กันไปหมด โดนมันมองเหยียดและไล่ออกมาแบบไม่มีมารยาท แล้วก็ไม่บอกด้วยนะ ว่าให้ไปที่ไหน แบบ “คุณไม่มีธุระอะไรที่นี่ ห้ามจอด และออกไป”
รูปที่พักที่ Mount Cook Lodge and Motels
- Milford Sound Lodge เป็นอีกที่ที่แนะนำครับ ที่พักดีมาก วิวสวย ใกล้จุดชมวิว (ขับรถ 3 นาที) ถ้าพักแนะนำเลือกแพคเกจที่รวมอาหารหลัก 2 มื้อ (เย็น+เช้า+lunch box ตอนล่องเรือ), ล่องเรือและรวมดู underwater observatory ด้วย (1-night experience) เห็นราคาจะตกใจเล็กน้อย แต่มันคุ้มมากๆๆๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ถ้าไม่พักที่นี่ มักจะออกไปพักกันที่ Te Anau ซึ่งห่างจาก Milford Sound ประมาณชั่วโมงกว่า ถ้าจะล่องเรือรอบเช้า ต้องตื่นออกมาเช้ามากทำให้ไม่ค่อยสะดวก ผมเลยแนะนำว่าพักที่นี่เป็นแบบแพคเกจดีกว่า (ที่นี่ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เนตนะครับ แต่มี free wifi ให้)
- การมาที่ Milford Sound จะมีถนนอยู่เส้นเดียว (SH94) ซึ่งมีโอกาสปิดถนนได้บ่อยกรณีน้ำท่วม มีหินถล่ม ดังนั้นก่อนไปให้เช็คสภาพถนนก่อนครับว่าปิดหรือเปล่าที่ ลิงค์นี้ ครับ (เราโชคดีที่ไม่ปิด แต่ถนนที่ไม่เคยปิดดันปิด 555) แต่ไม่ต้องห่วงที่ Milford Sound Lodge นี้เขาบอกว่าคืนเงินให้ครับถ้าเกิดเราไปไม่ได้เพราะถนนปิด ดังนั้นจองไปเถอะไม่ต้องลังเล
รูปที่พักที่ Milford Sound Lodge
รูปอาหารในแพคเกจหลากหลาย
- อย่าลืมตรวจสอบเวลา check-in ที่พักก่อนเสมอ โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อน มันมืดช้า บางทีเที่ยวเพลิน ไปถึงที่พักสองทุ่มยังสว่างอยู่แต่ reception ปิดไปแล้ว! ดังนั้นก่อนถึงวันเที่ยวให้อีเมลคอนเฟิร์มที่พัก และบอกเวลาถึงคร่าวๆ กับเขาด้วย ถ้าคิดว่าไปถึงช้า ต้องถามเขาไว้เลยว่าจะรับกุญแจยังไง
- การขับรถไม่ยาก แต่ระวังเรื่อง speed limit (ส่วนใหญ่นอกเมืองไม่เกิน 100 กม./ชม. ในเมืองก็ประมาณ 30-50 ดูป้ายเอาครับ สะพานหลายจุดเป็นเลนเดียว ต้องดูป้ายให้ดีว่าใครควรไปก่อน หรือดูสัญญาณไฟ (ถ้ามี) ให้อ่านกฎจราจรไปก่อนด้วยครับ
- ขับกลางคืนที่ข้างทางเป็นป่านี่ต้องระวังสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยให้ดีครับ ที่เจอศพบ่อยๆ ก็มีนกกีวี่ และกระต่าย แต่กลางคืนนี่กระต่ายนี่เยอะมากๆๆ (ก.ไก่ล้านตัว) ตอนขับไป Mount Cook มันมืดแล้ว แสงไฟรถสาดส่องเห็นกระต่ายเป็นพันๆ ตัวอยู่สองข้างทาง บางตัวโดดหยองแหยงออกมาเล่นกับไฟรถแบบไม่เกรงกลัว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ….น้องกระต่ายไม่หลบ แถมยังพุ่งเข้าหาล้อ กลับมาต้องทำบุญให้ไปหลายตัวเลย ฮืออออ
รวมป้ายระวังน้องๆ ทั้งหลายข้ามถนน (เขาลืมทำรูปกระต่ายแฮะ)
- Sim มือถือ ถ้าจะซื้อจากไทย Sim2Fly สัญญาณใช้ได้ครับ แต่จะไม่มีตอนอยู่ห่างเมืองมากๆ แต่โดยรวมโอเค ควรดาวน์โหลด offline google map ไปด้วยจะช่วยได้มาก แต่ถ้าจะซื้อของนิวซีแลนด์ก็ง่ายครับ ลงเครื่องบินมามีบูธเต็มไปหมด แนะนำของ Vodafone ราคาแพงกว่า Sim2Fly ไม่มาก มีเพื่อนอีกคนเอาของ DTAC ไป สัญญาณไม่ดีครับ
ขอจบเรื่องราวเกี่ยวกับอุปสรรคการเดินทางไว้แค่เท่านี้ครับ บทความตอนหน้าจะเอาภาพความประทับใจมาแบ่งให้ดูกันบ้าง (ถึงทริปจะทุลักทุเลแต่ก็เก็บความประทับใจกลับมาเต็มเปี่ยมนะครับ)