3,000 KM around Iceland: Ep. 6 Westfjords และ Western region

ช่วยไลค์ช่วยแชร์ครับ

ขับวนทวนเข็มนาฬิกาจนจะครบรอบเกาะแล้ว (ซักที) โพสต์นี้เป็น EP สุดท้ายพาไปเที่ยว Westfjords และฝั่งตะวันตก (Snaefellsnes Peninsula) ครับ

 

 

เป็นทริปรอบประเทศ (พอดีประเทศไม่ใหญ่) ในเวลา 8 วัน เลยรวบ ๆ รีบ ๆ หน่อย โชคดีที่เป็นฤดูร้อน (ต้น มิ.ย. 2023) พระอาทิตย์ตกเกือบเที่ยงคืนเลยเที่ยวได้นาน ขาดตกไปบ้าง แต่ไฮไลท์ (เกือบ) ครบ 🎉

หมุดสีเหลืองคือไม่ได้แวะครับ เวลาไม่ทัน

 

🦕 จากเมือง Akureyri ขับมาทางตะวันตกก่อนเข้า Westfjords จะมีจุดแวะเป็นหินรูปไดโนเสาร์ (Hvitsurkur) ที่ต้องแวะ…แต่…แพลนผิดไปปักหมุดผิดที่ ดันไปปักหมุด Hvitsurkur ที่เป็นน้ำตกแทน (ซึ่งอยู่ทางใต้ เลยกะว่าจะไปวันรุ่งขึ้นตอนขับกลับ Reykjavik) เลยขับข้ามไปเลยยย 😖

🦕 เพื่อนมาเอะใจตอนที่ร้านของที่ระลึกแถวนั้นมีรูปหินนี้เต็มไปหมด แต่เอะใจตอนขับผ่านมาชั่วโมงนึงแล้ว อดเลย 😢 เพื่อกันพลาด แนะนำให้ปักหมุดคำว่า Hvitserkur Parking Lot ครับ

🦕 นอกจากเจ้าหินไดโนเสาร์นี้แล้วยังมี Kolugljufur Canyon ใกล้ ๆ กันด้วยครับ พวกเราไม่ได้แวะเช่นเคยเพราะเหนื่อยจะเดินแล้ว กับเวลาน่าจะไม่ทันเพราะต้องขับไปที่พักใน Westfjords อีกเกือบหกชั่วโมง

 

 

Westfjords

🗻 เป็นโซนที่อยู่ตะวันตกสุดของประเทศ ห่างไกลที่สุด นักท่องเที่ยวไม่ค่อยแวะมา เพราะต้องใช้เวลาเพิ่มจากเส้นทางปกติอย่างน้อย 1-2 วัน และขับรถจากเส้นทางหลักค่อนข้างนาน (4-6 ชม.) และถนนหนทางก็เป็นลูกรังซะส่วนใหญ่ ต้องใช้รถ 4WD เขาแนะนำให้มาช่วง พ.ค.-ต.ค. เพราะถ้าฤดูหนาวถนนจะแย่มากเพราะปกคลุมด้วยหิมะ

🗻 การเดินทางมาที่ Westfjords นี่มาได้ทั้งทางรถ และทางเรือครับ จะมีเรือ Ferry ออกจาก Stykkisholmur มาจอดที่ Brjanslaekur (ประมาณ 3 ชั่วโมง) แต่จำนวนรอบไม่มาก และพอลงเรือก็ไม่รู้จะเที่ยวต่อยังไงถ้าไม่ขับรถ เลยเลือกวิธีขับรถแทน

🗻 จุดเที่ยวหลักๆ ของ Westfjords คือ Dynjandi Falls (ใหญ่และสวยมากกกก), Latrabjarg (จุดชมนกพัฟฟินที่ใหญ่ที่สุด), Raudisandur (หาดทรายสีไม่ดำที่หาได้ยากในไอซ์แลนด์ และที่นี่ถ้าแสงดีๆ จะเห็นหลายๆ สีเป็นริ้วๆ), Gardar BA 64 Shipwreck, Bildudalur village และ Djupavik village

🗻 ผมมีเวลาโดยประมาณแค่เกือบหนึ่งวันกับหนึ่งคืน เลยเที่ยวได้ไม่หมด ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะแวะดูพัฟฟินที่ Latrabjarg แต่ดูแล้วน่าจะไม่ทัน โชคดีที่เพื่อน ๆ ตัดสินใจแวะดูนกกันก่อนที่ Borgarfjordur Eystri เมื่อวันก่อน ไม่งั้นสงสัยอดแน่ ๆ

🗻 สรุปสุดท้าย ขับรถปุเลง ๆ กันเข้ามาเกือบหกชั่วโมง สรุปได้เที่ยวแค่ Dynjandi Falls ที่เดียว ถามว่า คุ้มไหม 🤣….ไม่แน่ใจ 🫠 แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้เสียดายเวลาที่แวะมาครับ ภูมิประเทศสวย และน้ำตกก็สวยมาก (หลายคนแซวว่าเป็น น้ำตกแม่ยะ หรอ…ไม่เถียง 😳 555)

🗻 สภาพถนน เส้นทางที่ผมไปสภาพถนนไม่ถึงกับเป็น F road รถตู้ผมไปได้สบาย ๆ แต่ก็ขับช้า ๆ หน่อย (ถ้าไม่ได้เช่ารถแบบ 4WD อย่าลืมถามคอนเฟิร์มบริษัทเช่ารถด้วยว่าเราเอามาขับที่นี่ ประกันครอบคลุมไหม ด้วยนะครับ ของผมถามแล้วเขาบอกไม่มีปัญหา)

🗻 ที่พัก ใน Westfjords ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะคล้าย ๆ farmstay อยู่กับธรรมชาติ ดีสุด ๆ เลยครับ และหลายที่ก็มีบ่อน้ำร้อนให้แช่ด้วย จะฟรีหรือเสียตังค์ก็ลองสอบถามดู

 

สภาพถนนและวิวระหว่างทาง (บางส่วน)

 

สภาพรถเมื่อมาถึงที่พัก

 

ที่พัก

🏠 ผมจองที่พักไว้ที่ Mora Guesthouse (จาก booking.com) ตอนหลังเขาอัพเกรดให้เป็น AEgisholt private house with hot tub อยู่ใกล้ ๆ กัน หลังนี้มีอ่างน้ำร้อนให้แช่ส่วนตัวด้วย

🏠 ที่พักโซนนี้ก็มีบ่อน้ำร้อนริมทะเลด้วยครับ (Krosslaug hot spring) แต่เสียเงิน (จำไม่ได้ว่าเท่าไร) แต่หลังสามทุ่ม แช่ฟรี ในรูปนี่แช่ตอนประมาณ 5 ทุ่ม อากาศหนาว ๆ แช่น้ำร้อนไป ชมวิวไป ฟินเวอร์

🏠 ผมว่าที่นี่ทำเลดี อยู่ระหว่างทางเที่ยว Dynjandi และ Latrabjarg (แต่แล้วแต่แพลนการเดินทางของแต่ละคนครับ ผมจองที่นี่เพราะตอนแรกว่าจะไป Latrabjarg ด้วย)

 

 

ที่พักเป็นบ้านทั้งหลัง กว้างขวาง มีอ่างน้ำร้อนส่วนตัวด้วย

 

วิวรอบ ๆ บ้าน และ Krosslaug hot spring ใกล้ที่พัก

 

Dynjandi

💦 น้ำตกแม่ยะ เอ้ย น้ำตก Dynjandi (หรือ Fjallfoss) นี้เป็นไฮไลท์ของ Westfjords เลยก็ว่าได้ จนโดนขนานนามว่าเป็น “The Jewel of Westfjords of Iceland”

💦 เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดใน Westfjords สูงประมาณ 100 เมตร ถัดลงมามีน้ำตกเล็ก ๆ อีก 6 ที่ เรียงจากที่จอดรถไปยังตัวน้ำตก Dynjandi คือ Baejarfoss, Kvislarfoss, Hrisvadsfoss, Gongumannafoss, Strompgljufrafoss และ Haestahjallafoss

💦 ถนนเป็นถนนลูกรังเกือบตลอดเส้นทาง ถ้าฝนตก (แบบที่พวกเราเจอ) หรือหิมะตก นี่น่าจะขับรถยากพอสมควรเลย แต่วิวระหว่างทางสวยครับ

💦 เราไปถึงน้ำตกกันตอนประมาณสามทุ่ม (ถ้าจำไม่ผิด) สะบักสะบอมพอสมควร เพราะนั่งรถนาน ถนนก็กระเด้งกระดอนเป็นช่วง ๆ ฝนก็ตกอีก เลยอยู่ถ่ายรูปได้ไม่นาน แต่ก็ตัดสินใจขับมาซ่อมกันใหม่ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น (โชคดีที่ที่พักห่างจากน้ำตกแค่ชั่วโมงเดียว)

 

ขับวกไปวนมา จนในที่สุด ก็เห็นน้ำตกตั้งตระหง่านอยู่ลิบ ๆ

 

ที่จอดรถ

 

น้ำตกเล็ก ๆ เรียงจากที่จอดรถที่ต้องเดินผ่านก่อนถึง Dynjandi

 

น้ำตกลดหลั่นกันลงมา

 

ทางเดินขึ้นช่วงแรกสบาย ๆ แต่พอเริ่มเดินขึ้นน้ำตกจะเป็นทางเดินดิน ถ้าฝนตกก็ลื่น แฉะหน่อย ตอนที่ไปนี่น้ำเยอะมากทะลักท่วมทางเดินจนต้องหลบออกนอกทางเดินไปหน่อยนึงถึงจะไต่ขึ้นไปต่อได้

 

หันหลังกลับมาชมวิวหลักล้าน สวยไม่แพ้วิวน้ำตกด้านหน้าเลย

 

เวิ้งน้ำด้านหลังนี้เป็นวิวของ Dynjandisvogur Bay ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Arnarfjordur fjord ซึ่งจัดว่าเป็น fjord ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของ Westfjords

 

เห็นวิวน้ำตก Dynjandi อยู่ไกล ๆ (ถ่ายซูมเอา)

 

วันแรกขึ้นไปไม่ถึง Dynjandi

วันแรกกว่าจะมาถึงกันก็เกือบทุ่มแล้ว หลังจากถ่ายรูปด้านล่างได้ไม่นาน ฝนก็เทลงมา (สังเกตจากความขุ่นมัวด้านหลัง) ทำให้ต้องถอยกำลังกลับที่พักกันก่อน

 

🚥🚥🚥

💦 ลังเลอยู่ว่า เช้าวันรุ่งขึ้นจะกลับมาซ่อมดีไหม เพราะยังถ่ายรูปได้ไม่หนำใจ อุตส่าห์ขับกันมาตั้งไกล

💦 ตอนเช้าวันต่อมา เราก็ขับรถกลับมาซ่อมตามที่ตั้งใจ วันนี้ฟ้าค่อนข้างเปิด แต่สภาพถนนลื่น ๆ ปกคลุมด้วยน้ำแข็งบาง ๆ (แต่ก็ยังขับได้อยู่ แต่ต้องระวังรถลื่นปัดหน่อย) เพราะเมื่อคืนฝนตกน้ำเลยกลายเป็นน้ำแข็งกะหิมะ คนขับ (ผมเอง) ปอดแหก จะวกกลับหลายรอบละ 🙄 โดนเพื่อนร่วมทางบังคับให้ไปต่อ จนถึงจุดหมายในที่สุด

 

สภาพถนนที่เมื่อวานวิวรอบ ๆ ยังเป็นหญ้า หิน และดิน ตอนนี้ปกคลุมได้ด้วยหิมะบาง ๆ ทำให้ได้เห็นวิวหลายฤดูเลย

 

มาเดินไล่กันทีละน้ำตกจากที่จอดรถกันครับ

Baejarfoss

 

Hrisvadsfoss

 

Gongumannafoss

 

Strompgljufrafoss

เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดใน 6 น้ำตกที่ไหลลงมาจาก Dynjandi

 

Strompgljufrafoss นี่ใหญ่ น้ำแรง และถ่ายได้หลายมุมมาก สวย ๆ ทั้งนั้น

 

Haestahjallafoss

ไม่ได้ถ่ายมาเต็ม ๆ ในรูปด้านล่างเป็นน้ำตกอันเล็ก ๆ (เห็นแค่เสี้ยวน้ำตก) ด้านหน้า Dynjandi

 

และในที่สุดก็มาถึงน้ำตกไฮไลท์ คือ น้ำตก Dynjandi

 

ถ้าปีนต่อไปใกล้ ๆ หลังน้ำตก จะเห็นหินเป็นสีแดงบางจุด เพราะธาตุเหล็กที่อยู่ในหิน (แต่ผมไม่ได้เดินขึ้นไปครับ เพราะน้ำและลมแรงมาก เปียกปอน)

หินสีแดงจากธาตุเหล็ก (รูปจากอินเตอร์เนต)

.

Latrabjarg

เป็นจุดชมน้องพัฟฟิน 🐧 ที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ แต่อย่างที่เกริ่นไปตอนต้น ผมไม่ได้แวะมาครับ เท่าที่อ่านรีวิวท่านอื่น ๆ ที่นี่จะได้เข้าใกล้น้องสุด ๆ แต่ตอนถ่ายรูปอาจต้องนอนลงไปบนหญ้าแบบในรูป

(รูปจากอินเตอร์เนต)

 

Gardar BA 64 shipwreck

ซากเรือจุดเช็คอินแห่งหนึ่งของ Westfords ผมไม่ได้แวะมาครับ

(รูปจากอินเตอร์เนต)

 

Raudisandur

หาดทรายสีไม่ดำที่หาได้ยากในไอซ์แลนด์ และที่นี่ถ้าแสงดีๆ จะเห็นหลายๆ สีเป็นริ้วๆ ผมไม่ได้แวะมาเช่นกันครับ

 

(รูปจากอินเตอร์เนต)

 

Snaefellsnes Peninsula

หลังจากออกจาก Westfjords แล้วก็เลยไปทาง Snaefellsnes Peninsula ซึ่งเป็นพื้นที่ฝั่งตะวันตกของประเทศ ก่อนจะกลับเมืองหลวงแล้วบินกลับไทย โซนนี้ในแผนที่เห็นเป็นติ่งเล็ก ๆ ของประเทศ แต่ที่แวะเที่ยวเยอะมากครับ ผมมีเวลาประมาณ 1 วัน 1 คืน เลยต้องข้ามบางจุดไปอย่างน่าเสียดาย

หมุดสีเหลืองคือไม่ได้แวะครับ เวลาไม่ทัน

 

Berserkjahraun Lava Field

 ที่นี่เป็นทุ่งลาวาอายุกว่า 4,000 ปี ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูมากนอกจากหินลาวารูปร่างแหลม ๆ บางส่วนมีมอสปกคลุมในทุ่งเวิ้งว้าง มีปล่องภูเขาไฟเตี้ย ๆ ให้เห็นบ้าง

 

 

วิวรอบ ๆ

 

วิวระหว่างทางไป Kirkjufell

พิกัดตรงไหนจำไม่ได้แล้ว

 

Kirkjufell

🐏 อยู่ใกล้เมือง Grundarfjordur เขายอดแหลมนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของไอซ์แลนด์เลยก็ว่าได้ เพราะทุกคนต้องแวะมาที่นี่ และเป็นสถานที่ถ่ายทำของ Game of Thrones ด้วย

🐏 Kirkjufell หรือ Church Mountain เป็นชื่อภูเขายอดแหลม ถ้าดูจากจุดชมวิวจะเห็นเป็นสามเหลี่ยมเหมือนหมวกพ่อมด เขานี้สูงประมาณ 463 เมตร

🐏 จากที่จอดรถ เดินไม่ไกลก็ถึงจุดชมวิว ที่เห็นน้ำตก Kirkjufellsfoss เป็นฉากหน้า และภูเขาสามเหลี่ยมเป็นฉากหลัง

 

เริ่มเห็นเมือง Grundarfjordur

 

 

Kirkjufell อีกมุมที่ไม่ได้เป็นยอดสามเหลี่ยมเหมือนตรงจุดชมวิว

 

มุมรอบ ๆ Kirkjufell

ทางเดินสั้น ๆ จากที่จอดรถ

 

รูป “The Must” หรือไฮไลท์ที่ต้องถ่ายมุมนี้ให้ได้ ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึงไอซ์แลนด์

 

มุมมองของ Kirkjufell จากที่พัก (Stod Guesthouse)

 

Bjargarsteinn Mathus

ร้านอาหารชื่อดังของที่นี่ อยู่ใกล้ที่พักมาก มีเนื้อน้องพัฟฟิน กับฉลามแดดเดียวด้วย

 

Rif และ Ingijaldsholskirkja

🐏 เป็นเมืองเก่าเล็ก ๆ ริมทะเล (หรือเรียกหมู่บ้านก็อาจจะได้) ที่เป็นทางผ่านจาก Kirkjufell ไปเที่ยวต่อกันทางใต้ของ Peninsula

🐏 Ingijaldsholskirkja เป็นโบสถ์หลังคาแดง พิกัดหนึ่งที่ต้องมาถ่ายรูป ยิ่งถ้าตอนฤดูร้อน ก่อนถึงโบสถ์จะมีทุ่งดอกลูปินบานสะพรั่งและมีฉากหลังเป็นโบสถ์หลังคาสีแดงบนเนิน สวยมาก ๆ แต่ตอนผมไปเสียดายที่ดอกไม้ยังไม่บานเต็มที่

 

ดอกลูปินอ่อน ๆ สียังไม่ม่วงเต็มที่

 

Svortuloft Lighthouse

🐏 ประภาคารสีส้มแป๊ดริมทะเล สูงประมาณ 13 เมตร ถูกใช้งานในปี ค.ศ. 1931

🐏 สีของตัวประภาคารตัดกับสีของหินลาวาสีดำโดยรอบ ทำให้เป็นโลเคชั่นถ่ายรูปที่สวยทีเดียว เสียดายวันที่ไปเมฆครึ้ม ฝนตก ถ้าได้ฟ้าสีฟ้าสดด้วยจะสวยมาก ๆ

🐏 ถนนทางเข้าไม่ค่อยดีเป็นลูกรังกระเด้งกระดอนพอสมควรครับ ต้องไปช้า ๆ

 

 

สุดปลายทาง มีวิวแค่นี้แหละ 🤭 ใครไม่มีเวลา ก็ข้ามโลด

 

Dritvik Djupalonssandur

🐏 Dritvik เป็นอ่าวของชายหาดทรายดำ Djupalonssandur (อย่าถามว่าอ่านว่าอะไร 😵) เป็นส่วนหนึ่งของ Snaefellsjokull National Park ซึ่งเป็นคล้าย หมู่บ้านชาวประมง

🐏 จากถนนเข้ามาลานจอดรถและทางเดินไปอ่าว จะล้อมรอบไปด้วยหินลาวาขนาดใหญ่ ทำให้ทางเดินดูแปลกตาและสวยไปอีกแบบ

🐏 ที่ชายหาด เขายังปล่อยซากเรืออับปางไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 ซึ่งเป็นเรือของชาวอังกฤษ ชื่อ Epine GY7 เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว (จริงๆ จะเก็บไปก็ได้นะ แต่ก็ทิ้งไว้เป็นจุดสนใจดึงดูดนักท่องเที่ยว)

🐏 นอกจากนี้ยังมีหินขนาดใหญ่ที่เขาเรียกว่า Aflraunasteinar ไว้ให้ประลองกำลังยก 4 ก้อน (23, 54, 100, 154 กิโลกรัม)

 

ทุ่งของหินลาวาสุดลูกหูลูกตาสองข้างทางเดินลงไปยังชายหาด
ทุ่งของหินลาวาสุดลูกหูลูกตาสองข้างทางเดินลงไปยังชายหาด

 

เดินมาซักพักก่อนถึงหาดก็เป็นแท่งหินลาวาแหลม ๆ สองข้างทาง

 

Aflraunasteinar

 

ซากเรือ Epine GY7 

 

Londrangar Cliff

🐏 เป็นแนวหน้าผาหินบะซอลต์

🐏 มีเสาหิน 2 แท่ง (สูง 75 และ 61 เมตร) มีสมยานามว่า “The Rocky Castle”

 

 

The Rocky Castle

 

Arnarstapi

🐏 เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ใน peninsulla มี trail ให้เดินไปจุดชมวิวริมหน้าผา มีหินรู ๆ (Hellnar Arch), Stone Bridge (ผมไม่ได้ไป จริง ๆ เดินต่อไปจาก Hellnar Arch ไม่ไกลมาก แต่ตอนนั้นเย็นมากแล้ว เลยไม่เดินต่อ) กับ Arnastapi Lighthouse

🐏 ใกล้ ๆ มี Ytri Tunga Seal Beach แต่ผมไม่ได้แวะครับ

 

ระหว่างทางมีที่พักสวยดี ชื่ออะไรไม่รู้

 

ที่จอดรถตรงจุดชมวิว และ Bardur Snæfellsas walking trail

 

Sculpture of Bardur Snaefellsas (สร้างโดย Ragnar Kjartansson)

 

Gatklettur (Hellnar Arch)

 

Arnastapi Harbor

เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหินภูเขาไฟ Stapafell ไม่ได้มีวิวอะไรมาก แต่มีบ้านหลังเล็ก ๆ หลังคาแดง กับวิวริมหาดที่เขาชอบถ่ายเป็นโปสการ์ดกับหน้าปกหนังสือ ตอนแรกไม่รู้ เดินไปดูก็เฉย ๆ กดถ่ายรูปมางั้น ๆ จนเพื่อนบอกกับเอาปกหนังสือ Lonely Planet มาให้ดู ถึงรู้สึกว่ามันสวยขึ้นมาทันที 🤭

 

Budakirkja

เรามัวแต่ลำไยกันตลอดทาง 😂 ทำให้เย็นมากกว่าจะหลุดโซนข้างบนมาได้ แล้วกลัวจะขับไป Blue Lagoon ที่จองไว้รอบค่ำไม่ทัน เลยลงความเห็นกันว่าข้ามโบสถ์ดำนี้ไป (Budakirkja) เสียดายอยู่เหมือนกัน

 

(รูปจากอินเตอร์เนต)

 

Sky Lagoon

🐏 Sky Lagoon เพิ่งเปิดไม่กี่ปีมานี้เอง อยู่ในตัวเมือง Reykjavik (ส่วน Blue Lagoon จะอยู่ห่างออกจากตัวเมือง ใกล้กับสนามบิน KEF)

🐏 แนะนำให้ จองออนไลน์ ไปก่อน ให้เลือก package กลาง (Pure package, อย่าเลือกถูกสุด และไม่ต้องเลือกแพงสุด) จะได้ผ้าเช็ดตัว ได้เข้าซาวน่า ฯลฯ ราคาจะถูกกว่า Blue Lagoon

🐏 ผนังเขาจะทำเป็นหิน อยู่ริมทะเล ขนาดไม่ใหญ่ จะได้บรรยากาศค่อนข้างต่างจาก Blue Lagoon

 

 

Blue Lagoon

🐏 เราแวะ Blue Lagoon กันวันสุดท้าย เป็นการผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าของทั้งทริปได้เป็นอย่างดี จนเพื่อนแซวว่า “นี่มาเที่ยว หรือมาเข้าค่ายลูกเสือ!” เพราะโปรแกรมอัดแน่นมาก จากตอนแรกคิดว่าซักสองทุ่มจะนอนชิล ๆ ที่บ้านพัก แต่เอาเข้าจริง สองทุ่มยังตะลอน ๆ ระหว่างทางอยู่เลย กว่าจะได้เข้าที่พักก็ปาไปหลังสี่ทุ่มเกือบทุกวัน 😓

🐏 อย่างที่เคยรีวิวไปใน EP. 1 ที่นี่แนะนำให้ จองล่วงหน้า นาน ๆ หน่อย โดยเฉพาะคนที่จะแวะมาช่วงกลางวันเพราะเต็มเร็วครับ แต่ถ้าจะมาช่วงหลังสองทุ่ม นี่อาจจะรอใกล้ ๆ ได้ เพราะเขาจะลดราคาครับ โดยเฉพาะหลังสองทุ่ม ยิ่งใกล้วันราคาจะยิ่งลด (แต่ก็ต้องลุ้นนะครับว่าจะเต็มไหม) เลือก package ถูกสุดได้ (Comfort) เพราะได้เครื่องดื่ม ได้ silica mask ได้ผ้าเช็ดตัว ได้เข้าซาวน่า พอดำรงชีวิตในลากูน

🐏 ถ้าจะซื้อผลิตภัณฑ์เขา แนะนำมาซื้อที่สนามบิน KEF ครับ ไม่มี tax ถูกกว่ามากกกกก

🐏 ถ้าพักที่นี่ (Silica Hotel) ก็จะ exclusive หน่อย มีทางเดินลงบ่อจากห้องได้ กับได้แช่/ถ่ายรูปตอนไม่มีคนเลย แต่ราคาแรงแพงสู้ไม่ไหว

 

 

จบสมบูรณ์เรียบร้อยครับกับทริปรอบประเทศ ขับรถไกล 3,000 กิโล แลกกับความประทับใจมิรู้ลืมมมม

 

 

 

About Breathe My World 29 Articles
A man who love travelling the world.