Go! Lofoten (Ep.2 เกาะในฝัน สวรรค์บนดิน)

ไม่กี่ปีมานี้ Lofoten เริ่มกลายเป็นเกาะในฝันของหลายคนที่จะได้มาเยือนโดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว เพราะวิวที่สวยอลังการและมีโอกาสสูงในการเห็นแสงเหนือไม่แพ้ไปจากไอซ์แลนด์ประเทศยอดฮิต

เกริ่นนำ

  • รู้จัก Lofoten และเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการตามหาแสงเหนือ >>> บทความที่แล้ว
  • และติดตาม Ep. 3 เมืองเล็กๆ ของนอร์เวย์ >>> Click!
  • สรุปข้อดีของการมาเที่ยว Lofoten
    1. สวย (จริงๆ ข้อนี้ข้อเดียวจบ)
    2. ขับรถง่าย
    3. เส้นทางไม่ไกล
    4. โอกาสเห็นแสงเหนือมากกว่าไอซ์แลนด์ (อยู่เหนือกว่า Kp น้อยๆ ก็อาจเห็นได้)
    5. อากาศแปรปรวน (อันนี้ไม่รู้ดีหรือเปล่า คือ เดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดี)
    6. ฤดูร้อนทำกิจกรรมได้มากมาย
    7. ไม่ได้แพงเวอร์อย่างที่คิด ถ้ามาซัก 4-6 คน หารค่าที่พัก ค่ารถ ค่าอาหารที่ทำกินเอง ทั้งทริปนี้ 10 วัน (Lofoten, Tromso, Bergen, Flam) รวมทุกอย่างแบบใช้ชีวิตสุขสบาย ประมาณเกือบ 80,000 บาท
  • ช่วงเดือนมีนาคมเป็นช่วงปลายหนาวที่เขาว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะเวลากลางวันพอๆ กับกลางคืน ทำให้ได้ทั้งเที่ยวตอนสว่างและได้ดูแสงเหนือตอนกลางคืน (แต่ตาก็จะโหลหน่อย เพราะกลางวันเที่ยว กลางคืนก็อดนอน) ส่วนเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนก็เห็นได้เช่นกันแต่อาจยังไม่ค่อยมีหิมะนัก

  • ผมเริ่มต้นที่ Leknes และย้อนขึ้นไป Henningsvaer ก่อน จากนั้นค่อยเที่ยวลงมาทางใต้จนถึงเมืองสุดท้ายของ ถนนเส้น E10 คือ เมือง Å โดยแผนการเดินทาง โรงแรม และราคาคร่าวๆ กดดาวน์โหลดจากรูปล่างเลยครับ  
  • ขอแบ่งเล่าเป็นเกาะๆ ไปครับ มีทั้งหมด 3 เกาะ แถม Henningsvaer อีก 1 เมือง อาจไม่ได้เรียงตามที่ไปจริง (ลำดับที่ไปจริงดูได้ตามตารางแผนการเดินทางด้านบน) จะได้ไม่งง เวลาไปจริงก็ไปจัดกันเอาตามสะดวกครับว่าจะแวะตรงไหนก่อน แต่ละที่ไม่ไกลกัน ขนาดเส้นทางรวมจาก Leknes ถึง Å ยังแค่ไม่เกิน 70 กม.เลย
  • วิวทิวทัศน์ที่เราจะเจอ
    1. ส่วนใหญ่ก็เป็นภูเขาใหญ่ ท่าเรือ ทะเล และชายหาด หรือแม้แต่วิวของสะพานยาวๆ ที่ทอดเชื่อมเกาะก็ยังสวยมาก
    2. แต่ที่ทำให้ที่นี่โดดเด่นขึ้น คือ บ้านชาวประมงสีสันสดใส ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดงและเหลือง (แปลกดี เขาคุมโทนให้สีเหมือนกันได้เกือบทั้งเกาะ) ตัดกับสีของวิวด้านหลัง ถ้าฤดูหนาวก็จะตัดกับสีขาวของหิมะ ถ้าฤดูร้อนก็จะตัดกับสีเขียวของหญ้า สรุปคือสวยทุกฤดู มีพร็อพเป็นราวตากปลา cod ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป
    3. ชายหาด (ส่วนใหญ่อยู่ทางฝั่งตะวันตก) ไม่ได้เป็นทรายขาวละเอียด แต่เป็นหินใหญ่ๆ กลมๆ มนๆ ใช้เป็น foreground ในการถ่ายรูปได้ดีนักแล แต่ช่วงที่ไปหิมะคลุมเกือบหมดเลยไม่ค่อยเห็น

แนะนำจุดถ่ายรูป

  • ก่อนเริ่มเดินทาง ผมได้สรุปจุดถ่ายรูปหลักๆ ที่รวบรวมจากคำแนะนำของกระทู้รีวิวต่างๆ (ดูเครดิตได้ท้ายบทความของ Ep.1 ตามลิงค์ นี้ครับ) ที่ผมได้ไปจริงมา สามารถดาวน์โหลด pdf flie ได้จาก ที่นี่ ครับ จริงๆ จุดถ่ายรูปมีได้ทั่วเกาะเลยครับ จะแวะถ่ายระหว่างทางก็หาที่ๆ เขาทำไหล่ทางให้จอดครับ เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ก็รถตกหล่มเพราะหิมะหนาเราจะไม่รู้ว่าพื้นมันลึกลงไปมากไหม
  • จุดที่ดาวแดงไว้ เป็นจุดนิยมที่เขาแนะนำไปถ่ายแสงเหนือกันครับ

Henningsvær

  • ขับตามเส้น E10 มา ก็จะมีทางแยกเข้าถนนที่จะนำเราเข้าสู่เมือง Henningsvaer เมืองชาวประมงที่มีชื่อเสียงอีกเมืองนึงในเกาะ Austvågoya ในเกาะนี้มีอีกเมือง คือ Svolvaer เป็นเมืองใหญ่และมีสนามบินด้วย ซึ่งบางคนอาจเลือกบินมาลงที่ Svolvaer แทนก็ได้แต่ทริปนี้เราไม่ได้แวะไปครับ 

วิวระหว่างทางจาก Leknes

  • ซักพักเจอทางแยกถนนเลียบทะเล เลยลองขับแวะเข้าไป วิวสวยมากครับ แต่จำพิกัดไม่ได้แล้วว่ามันอยู่ตรงไหน

  • ระหว่างทางสวยมากๆ ได้แสงตอนพระอาทิตย์จะตกดินพอดี

 

ราวตากปลา (fishracks) ที่เห็นกันอยู่ทั่วไปที่ Lofoten อากาศที่หนาวเย็นจะทำให้ปลาไม่เน่าและไม่แข็งจนกรอบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ช่วงกลางวันที่มีแดดและลมจะทำให้ปลาแห้งคงสภาพอยู่ได้นานและยังคงสารอาหารไว้ครบถ้วน

 

  • ก่อนจะแวะเข้า Henningsvaer ผมแวะไปท่ี Lofoten Church ซึ่งอยู่ที่ Kabelvåg ก่อน

 

  • ที่ตัวเมืองนี้มีจุดชมวิวหลักๆ อยู่สองจุด คือ สะพานตรงท่าเรือก่อนที่จะเข้าตัวเมือง และประภาคารที่อยู่ใกล้ๆ กับสนามฟุตบอล (เป็นสนามฟุตบอลที่วิวดีที่สุดในโลกละมั้งครับ) 

 

วิวจากห้องพัก Tobiasbrygga

 

วิวท่าเรือจากสะพาน

จากสะพานเดินเลี้ยวขวาต่อมาเพื่อไปสนามฟุตบอล สองข้างทางจะเต็มไปด้วยราวตากปลา

 

วิวแถวประภาคารและ Henningsvaer stadium

ตรงนี้ถ้าได้บินโดรนนี่จะสวยมาก ตามรูปล่างเลยครับ (เอามาจากอินเตอร์เนต) แต่ช่วงเราไปหิมะคลุมขาวไปทั้งสนามเลยไม่เห็นอะไรเลย (เสียใจ) แต่ก็ลองบินโดรนดูเหมือนกัน แต่ช่วงเช้ามันย้อนแสงมาก (เสียใจอีก)

แต่ตอนนี้ขาวโพลนเต็มไปด้วยหิมะ ไม่เห็นสนาม

Moskenesoy

ขอวาร์ปมายังเกาะทางใต้สุดของ Lofoten ก่อนครับ เพราะเกาะนี้มีเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากมายกระจุกกันอยู่ ภูมิทัศน์ของที่เที่ยวแถบนี้จะสวยงามมากๆๆๆๆ เป็นเทือกเขาใหญ่ ซึ่งต่างจากอีก 2 เกาะด้านบนเพราะที่เที่ยวแถบนั้นส่วนใหญ่จะเป็นชายหาดและทะเล    

Hamnoy

  • “ฮัมนอย” หรือคนไทยชอบเรียกกันติดตลกว่า “หำน้อย” เป็นจุดที่ต้องมาแบบพลาดไม่ได้ และนักท่องเที่ยวนิยมมาพักกันที่นี่
  • ที่พักที่มีชื่อเสียง คนชอบมาพัก และมักจะปรากฏอยู่ในรูปท่องเที่ยวหรือโปสการ์ด ก็คือ Eliassen Rorbuer วิวและทำเลดีมาก เดินออกมานิดเดียวก็ถึงสะพานที่เป็นจุดถ่ายรูปของมหาชน และวันที่เป็นใจ ก็เป็นจุดดูแสงเหนือที่สวยมากๆๆๆๆ (ดูจากรูปเอา วันที่ผมพักมันไม่เห็นแสงเหนือ) ถ้าได้บ้านวิวทะเลคงฟินน่าดู ต้องจองล่วงหน้านานหน่อยนะครับ (อย่างน้อย 2-3 เดือน) ที่นี่มักจะเต็ม
  • จุดชมวิวท่ีนี่ ดูใน photospot ที่ list ไว้ได้เลยครับ เพิ่มเติมคือ เดินข้ามมาอีกฝั่งที่เป็นที่จอดรถ ไต่ขึ้นเนินไปก็จะได้วิวมุมสูงหน่อย ไต่ลงใต้สะพาน (ด้วยความระมัดระวัง) ก็จะได้วิวมุมล่าง ช่วงน้ำแรงๆ ได้คลื่นกระทบหินเป็น foreground ด้วย

 

Eliassen Rorbuer

 

มุมมหาชน

ตอนแรกนึกว่าวิวนี้จะเห็นไกลๆ แต่มันใกล้สะพานมาก ต้องใช้เลนส์ไวด์ถึงจะเก็บได้หมด ตอนถ่ายใช้ Fujinon 14 mm ยังเก็บเกือบไม่หมด (superwide ของ Huawei ก็เก็บสบายยยย)

วิวเช้าได้แสงฉาบภูเขาด้านหลัง แต่ตัวบ้านจะโดนเงาบังหน่อย ผมว่าแสงช่วงบ่ายและเย็นนี่กำลังสวย

วิวแสงทไวไลท์ แต่อดแสงเหนือที่นี่

วิวอีกฝั่งของสะพาน

มีที่จอดรถอยู่ตรงข้าม Eliaasen Rorburer เลย ตรงนี้มีเนินปีนขึ้นไปดูวิวมุมสูงด้วย มองเห็นยอด Olstinden และหมู่บ้าน Skrisoy ด้วย

วิวมองไปทาง Skrisoy

วิวจากใต้สะพาน

ไต่ลงมาแบบระวังหน่อยครับ หิมะลื่นเล็กน้อย

วิวนี้ถ่ายใต้สะพานฝั่งตรงข้าม Eliassen Rorbuer
วิวนี้ถ่ายใต้สะพานฝั่งเดียวกับ Eliassen Rorbuer

วิวโดรน

ไม่อยากจะโชว์ เพราะบินได้ง่อยมาก (ฮา) บินได้ไม่สูงเพราะใช้มือถือบังคับ สัญญาณ wifi หลุด เกือบเรียกกลับไม่ได้ 555 รูปเลยไม่ค่อยแตกต่างจากถ่ายปกติเท่าไร แต่เอาน่ะ ขอลงไว้นิดนึง

สะพาน Hamnoy
Skrisoy

 

  • เดินเข้ามาในโซนที่พัก Eliassen Rorbuer สุดทางจะเป็นที่จอดรถ เป็นจุดที่เห็นวิวของภูเขา Olstinden ได้ชัดเจน ถ้าวันพักเห็นแสงเหนือตรงนี้จะฟินไม่น้อยเลย
ตอนเช้า แดดจะตกฉาบภูเขาเป็นสีส้ม
แสงเช้า
แสงเย็น

Skrisoy

  • หมู่บ้านนี้ขับเลยออกมาจาก Hamnoy นิดเดียว จะเป็นโซนบ้านสีเหลือง มีมุมมหาชนอีกมุมนึง คือ บ้านสีเหลืองโดดเดี่ยวอยู่หน้าภูเขาสามเหลี่ยม (Olstinden) แถวนี้พลาดไม่ได้ครับ
  • จากจุดจอดรถ เดินย้อนมาทางสะพานนิดนึงแถวๆ ราวตากปลา (อยู่ฝั่งเดียวกันกับที่จอดรถ) จะถ่ายได้วิวนี้ครับ

 

  • เดินข้ามฝั่งมายังจุดที่ระบุไว้ในตาราง photospot จะสวยมาก เห็นกลุ่มของบ้านสีเหลืองตัดกับภูเขาหิมะสีขาวที่มียอดหลักแหลมๆ ถ้าเดินต่อขึ้นไปอีก จะได้วิวมุมกว้างพาโนรามา จุดสูงพาโนรามานี่ผมไม่ได้เดินขึ้นไปครับ มีปัญหาเรื่องที่จอดรถนิดหน่อย ดันไปจอดผิดที่ผิดทางตามที่เล่าไปในบทความก่อน เลยต้องรีบออกมากัน

ราวตากนี้มีแต่หัวปลา ไม่รู้เอาไปทำอะไร

วิวตะลึงๆ


Hammarskaftet

  • เป็นชื่อของภูเขายอดแหลมรูปกรวยคว่ำ ดูแว้บแรกนึกถึงหมวกคัดสรรของแฮรี่ พอตเตอร์
  • พิกัดอยู่ระหว่างทางจาก Hamnoy และ Reine ถ้าขับมาเรื่อยๆ จะไม่สังเกตเลยครับ เพราะมองไม่เห็นยอดเขาสามเหลี่ยมจากถนน ทำให้ขับเลยไปง่ายๆ ตอนไปนี่ set GPS ตามพิกัดแนะนำของคุณ Piriya photography พอไปถึงที่จอดรถ ก็ยังงงว่า “ไหนวะ” (ฮา) จนลงจากรถเดินข้ามฝั่งถนนมาแล้วเหลือบหันไปมอง ก็ถึงบางอ้อ “อ้อออ มันอยู่นี่เอง”

ทางเดินลง

วิวเล็กๆ แต่สวยตะลึง


Reine

  • ขับต่อมาอีกไม่ไกลก็ถึงทางเลี้ยวเข้าเมือง Reine ตรงทางเลี้ยวจะมีจุดจอดรถชมวิวมุมกว้าง สวยมากๆ จุดนี้ก็นิยมมาถ่ายแสงเหนือกันด้วยครับ แต่อาจมีแสงจากเมืองมารบกวนหน่อย อีกจุดจะอยู่ที่ปลายเกาะ ขับไปจนสุดถนนจะมีที่จอดทางด้านขวา
วิวจากจุดจอดก่อนเลี้ยวเข้าถนนสู่ตัวเมือง

ถ้าได้แสงเหนือเหนือเมือง Reine และภูเขา 2 ลูกนี้ตามที่เห็นเขาถ่ายกัน คงดีไม่น้อย

วิวจากจุดจอดที่อยู่ตรงทางเลี้ยวเข้าเมือง จะได้มุมกว้างกว่า

Drone ได้มุมสูงขึ้นมาอีกนิดนึง

 

  • ที่นี่มีร้านกาแฟ เบเกอรี่ ซุปเปอร์มาร์เกต ปั๊มน้ำมัน และที่พักให้เลือกหลายที่เลย

เดินเล่นรอบๆ ท่าเรือ

มีราวตากปลาเปล่าๆ เพื่อนขนพร๊อพไปถ่ายรูปธีม ซาดาโกะ in lofoten ด้วย…คิดดูลูกโป่งก็อุตส่าห์เอามา (ถ้าไปถ่ายตรงสุสานที่เจอระหว่างทางคงกระเจิงกันป่าราบ)

 

  • ใกล้ๆ แถวนี้มี trail เดินขึ้นไปจุดชมวิวมุมสูงได้ ชื่อ Reinebringen  เขาว่าค่อนข้างชันและเดินลำบาก ช่วงที่ไปยังมีหิมะปกคลุมเลยไม่กล้าเสี่ยงขึ้นไปครับ ใครสนใจลองเข้าไปดูรายละเอียดได้ ที่นี่ ครับ


Å

  • เป็นเมืองที่มีชื่อสั้นที่สุดในโลก (อ่านว่า “ออ”) เขาบอกว่าเมืองนี้ก็น่ารัก น่าเที่ยวครับ แต่ช่วงที่ไปนี่ เมืองร้างมาก ทั้งบ้าน ร้านรวงต่างๆ ปิดหมด ได้แต่เดินดูรอบๆ เมืองเล่น ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ทั่วแล้ว
  • จากเส้น E10 เข้าเมืองโดยลอดผ่านอุโมงค์ไปจอดรถแล้วเดินต่อเข้าเมืองไม่ไกลครับ หรือจะเลี้ยวซ้ายก่อนเข้าอุโมงค์เข้าตัวเมืองโดยตรงก็ได้ แต่ที่จอดรถจะน้อย อาจจะเลี้ยวขวาไปจุดชมวิวก็ได้ แต่ผมเลี้ยวไปแล้วหาที่จอดรถไม่เจอเลยไม่ได้ลงไปถ่ายรูปจุดนี้

Visitor center ใกล้ที่จอดรถ

ร้านรวงปิดหมด!

 

วิวนี้มันอยู่ตรงไหนนะ??

เอารูปมาจากอินเตอร์เนต แต่ผมหาวิวนี้ไม่เจอ ถ้าใครหาเจอช่วยอัพเดตหน่อยครับ สงสัยจะตรงทะเลสาบที่ผมเลี้ยวไปแล้วหาที่จอดรถไม่เจอมั้ง

Vestvågoy

  • เมืองหลักของเกาะนี้คือ Leknes ที่เที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชายหาดและทะเล
  • ผมพักแถวนี้คืนนึงที่ Lofoten Basecamp (หรือ Skreda Rorbusuiter)  เป็นที่พักที่ทำให้ผมได้เห็นแสงเหนือ เพราะเจ้าของเดินเข้ามาทักทายและแนะนำพอดีว่าให้ไปดูตรงไหน กี่โมง วันนั้นฟ้าเปิด Kp ประมาณ 2-4 สามารถเห็นได้จากหน้าบ้านเลย เป็นที่พักที่ผมแนะนำเลยครับ บ้านใหญ่กว้างขวาง สองชั้นอยู่ได้ 6 คน (แต่ขอเตียงเสริมได้)  วิวหลักล้าน

 

Lofoten Basecamp

วิวจากหน้าต่างบ้าน
วิวจากระเบียงห้องพัก

นั่งดื่มกาแฟที่ระเบียงชมพระอาทิตย์ตก วันนั้นแสงสีชมพูดสวยมาก ตื่นเช้ามาก็เห็นพระอาทิตย์ขึ้น มันสุดยอด (แต่ตอนนี้มันหนาว เอาแค่ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศพอ ค่อยมานั่งกินกาแฟในบ้านแทน) 

สีแบบนี้จริงครับ

วิวพระอาทิตย์ขึ้น

 

ตามคำแนะนำของเจ้าของที่พัก มารอสังเกตการณ์แสงเหนือหน้าบ้านตอนสองทุ่ม….แสงเหนือมาแล้ววววว  มาเต้นรอรับที่หน้าบ้านเลย

หลังบ้านก็มานิดนึง

Haukland Beach

ชายหาดแถวนี้เป็นที่นิยมมาถ่ายแสงเหนือกันครับ ได้ลองแวะมากลางวันก็สวยมากไม่แพ้กัน แวะมาที่นี่รอบแรกตอนกลางคืนที่มาดักรอแสงเหนือกัน มืดมาก ไม่เห็นวิวอะไรเลย แต่พอถ่ายออกมามีภูเขาและทะเลเป็นฉากหน้า สวยมากครับ (แต่รูปออกจะไม่ค่อยสวยนัก เพราะงงๆ กับการตั้งกล้องให้ตรง มองฉากจากจอ LCD กล้องไม่เห็นเลย 555 มันหนาวด้วยเลยตั้งกล้องลำบากเข้าไปอีก รูปเลยไม่ค่อยสวยถูกใจเท่าไร นี่เลยเป็นเหตุผลที่บอกไปในบทความที่แล้วว่า “ควรมาสำรวจพื้นที่ก่อน” แอบเอารูปเพื่อนที่ไปมาผสมด้วยครับ)

ตอนหัวค่ำมาน้อยๆ
เมฆมารบกวนอยู่พักนึง

 

เช้ารุ่งขึ้นได้แวะมาที่นี่อีกที ได้เห็นวิวสว่างๆ โอ้โห! สวยแฮะ


Uttakleiv Beach

ขับเลยจาก Haukland Beach ลอดอุโมงค์มาหน่อยเดียว เขาว่าเป็นหนึ่งในหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดใน Lofoten เป็นหาดที่มีหินกลมๆ มนๆ และคนก็นิยมมาปักหลักถ่ายแสงเหนือกันที่นี่ด้วย แต่!!! เราไม่ได้แวะเข้าไปครับ (ตอนนั้นมันหนาวและคิดว่าหิมะคงคลุมหาดหมด แหะๆ) เลยขอเอารูปจากอินเตอร์เนตมาให้ชมแทน


Buksnes church

อยู่แถว Gravdal ทางผ่านจากถนน E10 ที่จะมุ่งหน้าสู่ Ballstad


Ballstad

เป็นเมืองท่าเรือเล็กๆ สุดติ่งของเกาะนี้ จริงๆ ไม่มีอะไรมากครับ มีวิวท่าเรือ ซุปเปอร์มาร์เกต ร้านเบเกอรี่เล็กๆ ให้แวะพักกลางวันกัน


Eggum

  • อยู่ทางตอนบนฝั่งตะวันตกของเกาะ เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่หนึ่งของเกาะนี้
  • จุดเที่ยวมีป้อมเรดาร์ที่ถูกสร้างขึ้นและในในสงครามโลกครั้งที่ 2 (Borga), รูปศิลปะ Markus Raetz และจุดชมวิวทะเลสาบ
ทางเข้า เสีย 30 NOK ต่อคัน หยอดตู้ ไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้า

 

Borga

เป็นสถานีเรดาร์ที่สร้างโดยชาวเยอรมันและถูกใช้งานช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

 

Markus Raetz’s head และ วิวทะเลสาบ

รูปศิลปะนี้จากจุดจอดรถเดินต่อมาจะมีทางแยก ถ้าจะไปดูหัวอันนี้ให้เดินทางขวา เดินต่อไปอีกเกือบกิโล ผมเลี้ยวผิดไปทางซ้ายเป็นวิวทะเลสาบครับ ระยะทางแค่กิโลเดียวแต่ทั้งหนาวทั้งลมแรง มือ หู เท้าชาไปหมดเลยถอดใจไม่ไปดูหัวก็ได้ แต่เอารูปจากอินเตอร์เนตมาฝากแทนครับ

วิวทะเลสาบถ้าเดินแยกมาทางซ้าย

 

รูปศิลปะนี้พิเศษตรงที่เดินอ้อมไปอีกมุมจะกลายเป็นรูปหัวกลับหัว

Flakstadoya

Skagsanden beach

เป็นชายหาดที่อยู่ริมถนน E10 เลย ดูทางเข้าดีๆ ครับ ขับเลยตลอด ที่นี่เป็นอีกที่ที่เขานิยมมาถ่ายรูปแสงเหนือกัน เราก็มาครับ ฟ้าเปิดเห็นดาวล้านดวง แต่…nothing happened! (ฮือออ)

Noise เยอะนิดนึง ดัน ISO สูงปรี๊ดถ่ายทดสอบแสงเหนือ

แอบเอารูปเพื่อนร่วมทริปถ่ายทางช้างเผือกไปพลางๆ มาลงด้วย

กลางวันลองแวะมาอีกที

ช่วงบ่ายหาดจะมืดๆ เพราะเงาภูเขาบังแสง

Fredvang Bridges

  • เป็นสะพานที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสะพานที่สวยที่สุดในโลก ประกอบไปด้วย 2 สะพานด้วยกัน เชื่อมหมู่บ้าน Fredvang บนเกาะ Moskenesoya กับเกาะ Flakstadoya 

ภาพจาก drone (คนอื่น)

 

ภาพจาก drone ตัวเอง

ไม่ได้เรื่อง 555 มี skill บังคับ drone ต่ำมาก ใช้โทรศัพท์บังคับด้วย เลยบินได้ไม่สูงนัก เลยไม่ได้วิวสวยๆ เหมือนคนอื่นเท่าไร

 

  • ผมขึ้นสะพานจากถนน E10 บนเกาะ Flakstadoya ซึ่งก่อนขึ้นสะพานจะมีจุดจอดรถชมวิวด้วย

  • จากจุดชมวิวก็วิ่งขึ้นสะพานข้ามไปอีกฝั่งที่อยู่บนเกาะ Moskenesoya มีจุดแวะถ่ายรูปเป็นระยะ หลังจากลงสะพานจะมีจุดชมวิวอีกจุด มีห้องน้ำและน่าจะเป็นสวนเล็กๆ ให้นั่งเล่น จากตรงนี้มองย้อนกลับไปจะเห็นวิวของสะพานกับภูเขายอดสามเหลี่ยมเป็นฉากหลัง


Ramberg

เป็นหมู่บ้านเล็กๆ บนเกาะนี้ เป็นทางผ่านของถนน E10 มีชายหาดที่เขาก็มาถ่ายแสงเหนือกันด้วย แต่เราไม่ได้แวะกันที่นี่ครับ แต่ใกล้ๆ มีโบสถ์เล็กๆ ชื่อ Flakstad Church อยู่บนเนินหิมะขาวโพลน

 

Flakstad Church

อยู่ไม่ไกลจากตัว Ramberg ขับรถมาแป๊บเดียว เป็นโบสถ์เล็กๆ ที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนิน 


Nusfjord

เป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่เข้าไปแล้วรู้สึกถึงความเป็นชุมชนชาวประมงแบบดั้งเดิม ที่มากไปกว่านั้นคือ วิวสองข้างทางหลังจากที่เราแยกตัวออกจากเส้น E10 แล้วมันสวยมากๆๆ ครับ

 

มีโขดหินใหญ่ติดรูปตาเหมือนปลาวาฬด้วย สงสัยอาจเป็นเพราะที่นี่มีทัวร์ดูปลาวาฬด้วย

 

จบทริป Lofoten แบบสมบูรณ์ โชคดีมากที่กลางวันฟ้าใสทุกวัน ถึงกลางคืนแสงเหนือจะไม่เป็นใจให้เรามากนัก แต่คืนเดียวที่เห็นมันก็สุดยอดมากครับ จากที่นี่ เราจะไปต่อที่เมืองหลวงแห่งแสงเหนือกันคือ Tromso ครับ รอติดตามนะครับ

About Breathe My World 68 Articles
A man who love travelling the world.