“หุบเขามรณะ” ได้ยินชื่อก็ไม่มีใครอยากมาแล้วใช่ไหมครับ แต่ช้าก่อน! ตามมาเที่ยวด้วยกัน แล้วที่นี่จะกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายคนอาจเปลี่ยนใจมาเยือนก็ได้ครับ
สารบัญ
Death Valley National Park
ที่นี่เป็นอุทยานที่หลายคนไม่ค่อยรู้จักหรือไม่เคยได้ยิน หรือถึงแม้จะเคยได้ยินก็คงไม่ได้รู้สึกอยากไปเลย เพราะจะคิดว่ามันมีแต่ทะเลทรายและชื่ออุทยานก็ไม่น่ามาแล้ว มีเรื่องเล่าที่มาของชื่ออุทยานเกิดจากเมื่อปี 1849 มีกลุ่มคนนักขุดทองได้หลงเข้าไปเพราะคิดว่าเป็นทางลัดของเส้นทางการค้า Old Spanish trail ทำให้ไม่มีทั้งน้ำและอาหาร มีแค่ไม่กี่คนที่รอดออกมา และหนึ่งในนั้นพอรอดออกมาก็พูดออกมาว่า “Goodbye Death Valley” เลยเป็นชื่อที่เรียกจนมาถึงตอนนี้
Death Valley ตั้งอยู่ในพื้นที่ของสองรัฐ คือ California และ Nevada เป็น National Park ที่ได้ชื่อว่าร้อนและแห้งแล้งที่สุดในอเมริกา มีบริเวณของ Badwater Basin เป็นส่วนที่ต่ำที่สุดใน California คือประมาณ 282 ฟุตต่ำกว่าระดับน้ำทะเล
สภาพอากาศ
ที่นี่ตอนกลางวันร้อนมากถึงร้อนมากที่สุด…ฟังดูไม่น่ากลัวเพราะประเทศไทยเราก็มี 2 ฤดูอยู่แล้ว คือร้อนมาก และ ร้อนมากที่สุด แต่อย่าชะล่าใจไปครับ ที่นี่เวลาร้อนนี่ร้อนจริงจังครับ อุณหภูมิอาจทะลุไปถึง 50 C ได้ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้มาช่วงฤดูร้อนครับ (กรกฎาคมหรือสิงหาคม) พวกผมมาที่นี่ช่วงฤดูหนาว (ปลายพฤศจิกายน) ทำให้เที่ยวแบบสบายๆ อุณหภูมิสูงสุดแค่ 26 C
การเดินทาง
มีได้หลายทางครับ ส่วนใหญ่จะเดินทางมาจาก Las Vegas และเข้าอุทยานทาง Death Valley Junction ซึ่งสะดวกกว่าทางอื่น (ดูแผนที่ด้านล่าง) ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมง แต่ทริปนี้ผมเดินทางมาจาก Bryce Canyon ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเลยเข้าอุทยานทางเมือง Beatty และพักที่ รร.ในเมืองคืนนึงก่อนเริ่มเที่ยววันรุ่งขึ้น แต่ถ้าเข้ามาจาก Las Vegas พักตรงบริเวณ Death Valley junction จะมีตัวเลือกให้พักมากกว่าครับ
ที่พัก
ถ้าเที่ยวหลายวัน พักในอุทยานน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ เพราะขับเข้าออกนี่ก็เสียเวลาพอสมควรทีเดียว แต่ราคาก็จะแพงหน่อยและ ต้องรีบจอง นะครับ (ลิงค์คลิ๊ก ที่นี่ เลยครับ) ผมพักแค่วันเดียวเลยเลือกพักนอกตัวอุทยานแทน
ถ้าจะเที่ยวให้ครบทุกจุดที่ควรไปน่าจะใช้เวลาอย่างต่ำ 2-3 วันเต็มๆ นะครับ แต่ผมมีเวลาแค่วันเดียว เลยแวะได้ไม่ครบดี
ตัวอุทยานประกอบด้วยส่วนหลักๆ สองส่วนคือ 1) Death Valley และ 2) Panamint Valley บริเวณที่คนไปเที่ยวมากที่สุดก็คือส่วนของ Death Valley ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่หลักๆ อยู่สามส่วน คือ
- Furnace Creek area
- Stovepipe Wells area
- Scotty’s Castle area
ถ้าเข้าอุทยานจาก Death Valley Junction จะเริ่มเที่ยวจากจุด Furnace Creek Area (พื้นที่ C และ D ตามแผนที่ด้านล่าง) แล้วไปต่อที่ Stovepipe Wells area (พื้นที่ A) ส่วน Scotty’s Castle area (พื้นที่ B) หลายๆ คนอาจไม่ได้ไปกันเพราะขับรถไกลหน่อยจาก visitor center
แต่เนื่องจากเราเข้าอุทยานทางเมือง Beatty การเดินทางของเราจึงเริ่มจาก Stovepipe Wells area ไป Scotty’s Castle area และสิ้นสุดที่ Furnace Creek area ครับ
Stovepipe Wells area
เริ่มออกเที่ยวแต่เช้ามืดครับ ออกจากโรงแรมในเมือง Beatty เข้าอุทยานทาง Daylight Pass Road (ตามเส้นสีน้ำเงินในแผนที่ข้างบน) ตอนเดินทางเข้าอุทยานจะผ่าน Ghost town (เมืองร้าง) ชื่อ Rhyolite ก่อน แต่ไม่ได้แวะ เพราะรีบไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นที่ Sand Dunes บริเวณนี้ถ้าเที่ยวตามที่หลักๆ แบบสบายๆ น่าจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 3 ชม.
Mesquite Flat Sand Dunes
ใช้เวลาขับจากโรงแรมประมาณ 50 นาที ควรมาตอนพระอาทิตย์ขึ้นเพราะแสงจะฉาบพื้นทรายเป็นสีส้มสวยกว่าช่วงอื่นๆ ที่นี่เป็น sand dune เตี้ยๆ และเคยใช้เป็นฉากถ่ายหนังเรื่อง Star Wars ด้วย
ในรูปเป็นแสงตอนที่พระอาทิตย์สูงมากแล้วเพราะเมฆเยอะ ทำให้ไม่เห็นแสงตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นมาฉาบพื้นทรายซึ่งน่าจะสวยกว่ามาก
Stovepipe Wells Village
เป็นเหมือนชุมชนเล็กๆ มีโรงแรมให้พัก มีร้านขายของ และปั๊มน้ำมัน (ราคาน้ำมันในอุทยานแพงนะครับ เติมมาจากข้างนอกอุทยานดีกว่า)
Mosaic Canyon
จากจุดจอดรถมีทางเดินต่อประมาณสองไมล์ คาดว่าเป็นทางผ่านของกระแสน้ำและมีนำ้ท่วมฉับพลัน (flash flood) เป็นระยะๆ ทำให้ผนังหินมีพื้นผิวเป็นริ้วๆ แปลกตากว่าที่ canyon อื่นตรงที่สีของหินจะเป็นสีขาวของหินอ่อน สวยมากๆๆ (เช่นที่ Antelope Canyons หินจะเป็นสีแดง)
Scotty’s Castle area
จาก Stovepipe Wells area เราก็ขับย้อนไปทางเหนือเที่ยวต่อที่ Scotty’s Castle area จุดนี้จะอยู่ไกลจาก Furnace Creek Visitor Center หน่อย คือ ต้องขับรถประมาณ 1 ชม. ดังนั้นถ้าจะมาต้องเผื่อเวลาเดินทางอย่างน้อยๆ 2 ชม. ซึ่งบริเวณนี้มีที่เที่ยวหลักๆ อยู่ 3 ที่ คือ Scotty’s Castle, Ubehebe Crater และ Racetrack Playa
Scotty’s Castle
ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1922 เพื่อจุดประสงค์เป็นบ้านพักตากอากาศของ Albert Mussey Johnson ตั้งอยู่ในส่วนที่เรียกว่าเป็น “oasis” ของ Death Valley แต่ด้วยการวางแผนการก่อสร้างผิดพลาดบางอย่างและงบประมาณที่สูง ทำให้ Johnson เสียชีวิตลงก่อนที่จะสร้างเสร็จและ Death Valley National Park ได้ซื้อที่นี่มาทำการต่อ
ดูชุ่มชื้นขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนเป็นโอเอซีสย่อมๆ กลางทะเลทราย
ที่นี่เดินดูภายนอกได้ฟรี แต่ถ้าจะเข้าชมจะมีทัวร์พาชมเป็นรอบๆ รอบละประมาณ 1 ชม.ในราคา 15 USD แต่เรามีเวลาไม่พอ จึงเดินแต่รอบๆ นอก วิวรอบนอกมีต้นไม้ใหญ่ ถึงจะไม่มากนักแต่ก็ทำให้ดูแตกต่างจากบริเวณรอบๆ ที่แห้งแล้งและเป็นทะเลทราย
Ubehebe Crater
ที่นี่เป็นเหมือนหลุมระเบิดของภูเขาไฟ มีอายุประมาณ 2,000-7,000 ปี กว้างประมาณ 1 กิโลเมตร และลึกประมาณ 200 กว่าเมตร มีจุดจอดรถและเดินขึ้นไปยังเนินเพื่อดูจากมุมสูงได้
Racetrack Playa
เป็นที่ๆ พบก้อนหินเดินได้ (sailing stones) จะเห็นเป็นก้อนหินและมีทางลากยาว คล้ายมันเดินได้ ซึ่งสาเหตุของการเกิดทางลากยาวได้นั้นเป็นปริศนามาตลอด จนล่าสุดสันนิษฐานว่าเกิดจาก การที่มีฝนตกและมีน้ำท่วมในระดับที่เหมาะสมร่วมกับตอนกลางคืนเมื่ออากาศหนาวจัดจนทำให้น้ำนั้นเป็นน้ำแข็งและเริ่มละลายเกิดเป็นแผ่นนำ้แข็ง พอมีลมที่แรงพอจะทำให้แผ่นน้ำแข็งดันก้อนหินให้เคลื่อนที่ได้
แต่จุดนี้ผมไม่ได้ไปครับ เพราะเขาว่าเส้นทางแย่มาก ขับรถไปกลับอย่างน้อยน่าจะประมาณ 6-8 ชั่วโมง (ทั้งที่ระยะทางไม่ถึง 30 ไมล์) ต้องใช้รถ high vehicle และ heavy duty tires (เขามีให้เช่า) และเดินทางไปกลับน่าจะประมาณ 6-8 ชม. เลยถอดใจ รูปข้างล่างนี่เอามาจาก internet ครับ
Furnace Creek area
วิวระหว่างทางในช่วงของ Furnace Creek มีภูเขารูปทรงและสีสันแปลกตาเป็นช่วงๆ
Harmony Borax Works (ปี 1883-1888) เป็นเหมืองบอแรกซ์เก่า
Badwater Basin และ Salt Flats
ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจาก Visitor center จุดนี้เป็นจุดที่ต่ำสุดของรัฐ California จะเห็นผลึกเกลืออยู่โดยรอบ
ถ้าขับลงไปต่อทางใต้จะเจอวิวแบบรูปด้านล่างครับ เห็นผลึกเรียงกันเป็นรูปหลายเหลี่ยม แต่ผมไปไม่ถึง เพราะเวลาไม่พอ เสียดายมาก
Natural Bridge
เป็นช่องหินตามธรรมชาติ ขับรถเข้าไปได้ประมาณ 1.5 ไมล์ และเดินต่อเข้าไปอีกประมาณ 1 ไมล์ แต่ผมไม่ได้แวะครับ
Devil’s Golf Course
เป็นลานกว้างของผลึกเกลือคล้ายๆ กับที่ Badwater Basin แต่ผลึกจะเรียงตัวสูงกว่าและมีลักษณะเป็นหยักๆ ผมไม่ได้แวะครับ รูปด้านล่างจาก internet ครับ
Artist Drive
เป็นเส้นทาง one way ระยะทาง 9 ไมล์ ขับรถชมวิวส่วนของ Black Mountain และกลุ่มภูเขาไฟเก่า ที่มีสีสันต่างๆ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของโลหะหนักชนิดต่างๆ ทำให้เห็นเป็นสีสันหลากหลาย เช่น แดง-ชมพู-เหลือง เกิดจาก iron salt, เขียว เกิดจาก mica และม่วง เกิดจากแมงกานีส เป็นต้นครับ
Golden Canyon
ตรงจุดนี้มีทางให้เดินและไต่เขาสั้นๆ ประมาณ 2 ไมล์ แต่ไม่มีเวลามากพอ เจอคนแถวนั้นเขาบอกสวยและสามารถขึ้นไปจุดที่มองเห็นวิวของ Death Valley ได้ เสียดายอยู่เหมือนกัน
Zabriskie Point
ผมแวะที่นี่เป็นจุดสุดท้ายก่อนจะขับรถกลับไปที่ Las Vegas จริงๆ บริเวณนี้มีที่ชมวิวอีกสองที่ คือ Dante’s View และ Twenty Mule Team Canyon แต่เวลาไม่พอเลยอดไป แต่ได้มาที่ Zabriskie นี่ก็คุ้มมากแล้ว เพราะสวยมาก
Zabriskie Point เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Amargosa เป็นจุดไฮไลท์ของที่ Death Valley เลยก็ว่าได้
Dante’s View และ Twenty Mule Team Canyon
อยู่ไม่ไกลจาก Zabriskie Point แต่ไม่ได้แวะ (อีกแล้วครับท่าน…)
หนึ่งวันในหุบเขามรณะทำเอาเปลี่ยนความคิดว่าที่นี่เป็นแค่ “ทะเลทราย” ไปเลยครับ ภูมิประเทศหลากหลายและกว้างใหญ่มาก (แต่อย่างที่บอก 2 วันขึ้นไปจะฟินยิ่งกว่านี้)